ความเป็นมาของสไตล์ Loft ที่ปัจจุบันได้รับความนิยมสำหรับการออกแบบภายในบ้าน
Loft Style เป็นหนึ่งในประเภทการออกแบบภายในบ้านที่สามารถสะท้อนวัฒนธรรมของคนยุคใหม่ที่ต้องการพื้นที่ซื่อสัตย์ต่อความจริง สะท้อนตัวตน และเชื่อมโยงกับอดีตอย่างมีความหมาย เพราะในปัจจุบัน สไตล์ดังกล่าวไม่ได้จำกัดอยู่แค่ความดิบของวัสดุ แต่ได้ถูกพัฒนาให้มีความหลากหลาย เพื่อให้เข้ากับการอยู่อาศัยในชีวิตประจำวันมากขึ้น
แนวคิดการออกแบบสไตล์ลอฟท์เริ่มต้นขึ้นในช่วงทศวรรษ 1940 – 1950 ที่เมืองนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะในย่านโซโห (SoHo) และแมนฮัตตันตอนล่าง ซึ่งในช่วงเวลานั้นโรงงานและโกดังสินค้าจำนวนมากเริ่มถูกปล่อยร้าง เนื่องจากอุตสาหกรรมการผลิตย้ายออกไปยังชานเมือง ทำให้เกิดอาคารโครงสร้างขนาดใหญ่ที่มีเพดานสูง หน้าต่างบานใหญ่ และโครงสร้างคอนกรีตหรือเหล็กเปลือยเหลืออยู่จำนวนมาก
เมื่อเวลาผ่านไป ความนิยมในสไตล์ลอฟท์ค่อย ๆ ขยายกลุ่ม โดยเฉพาะในยุค 1980 – 1990 ที่แนวคิด “Urban Living” หรือการใช้ชีวิตในเมืองเริ่มเติบโตขึ้น การตกแต่งลอฟท์ได้ต่กลายเป็นแนวทางการออกแบบที่สะท้อนความเท่ ความคิดสร้างสรรค์ และความเป็นอิสระในชีวิต จึงถูกปรับให้เข้ากับพื้นที่อยู่อาศัยทั่วไป เช่น คอนโด บ้าน หรือออฟฟิศขนาดเล็ก โดยยังคงเอกลักษณ์เดิมไว้ ไม่ว่าจะเป็นการโชว์โครงสร้างจริง การใช้โทนสีเทา ดำ และน้ำตาล การเลือกวัสดุอย่างคอนกรีต เหล็ก และไม้ และการเปิดพื้นที่ให้ดูโปร่งโล่ง

เหตุผลที่ทำให้ลอฟท์กลายเป็นสไตล์การออกแบบตกแต่งภายในบ้านที่ตอบโจทย์
- สอดคล้องกับการใช้ชีวิตของคนยุคเมือง
คนเมืองยุคใหม่ต้องการพื้นที่ที่โปร่ง โล่ง และสามารถปรับเปลี่ยนการใช้งานได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นมุมทำงาน มุมนั่งเล่น หรือโซนพักผ่อนในพื้นที่เดียวกัน ลอฟท์ตอบโจทย์นี้ได้อย่างลงตัว เพราะแนวคิดของมันไม่เน้นการแบ่งผนังหรือสร้างขอบเขตชัดเจน แต่เน้นการ “เปิดพื้นที่” ให้สามารถปรับเปลี่ยนฟังก์ชันได้ตามพฤติกรรมการใช้ชีวิต โดยเฉพาะในยุคที่แนวโน้ม Work from Home กลายเป็นเรื่องปกติ
- ความเรียบตรงของวัสดุที่กลายเป็นเอกลักษณ์
จุดเด่นของลอฟท์คือการโชว์วัสดุอย่างตรงไปตรงมา ไม่ปิดผิว ไม่ซ่อนท่อ หรือแต่งให้เนียนเกินจริง สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำให้ดูหยาบ แต่กลับกลายเป็นเอกลักษณ์ เพราะความดิบของคอนกรีตหรือเหล็กเปลือยสะท้อนแนวคิดเรียบง่าย เข้ากับวิถีคิดของคนยุคใหม่ที่ให้ค่ากับความจริงและความเป็นธรรมชาติ
- สอดรับกับแนวคิดการออกแบบอย่างยั่งยืน
สไตล์ลอฟท์ไม่ได้เป็นเพียงการตกแต่งให้ดูเท่ แต่ยังสอดคล้องกับแนวทางการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ด้วยการรีโนเวตอาคารเก่าแทนการรื้อสร้างใหม่และการใช้โครงสร้างเดิมร่วมกับวัสดุรีไซเคิล เช่น ไม้เก่า เหล็ก หรือกระจกเก็บกลับมาใช้ใหม่ เป็นแนวทางที่ช่วยลดของเสียและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
- ถ่ายทอดอารมณ์และภาพลักษณ์ที่แตกต่าง
ลอฟท์มีความสามารถพิเศษในการสร้างบรรยากาศดิบที่ไม่เหมือนสไตลืการออกแบบภายในบ้านอื่น ๆ เมื่อผสานเข้ากับแสงอบอุ่นจากหลอดไฟเอดิสันหรือเฟอร์นิเจอร์ไม้ธรรมชาติ จึงสามารถสร้างสมดุลระหว่างเสน่ห์และรูปแบบการใช้ชีวิต ทำให้ธุรกิจ เช่น คาเฟ่ โชว์รูม หรือสตูดิโอ มักเลือกใช้ลอฟท์ในการออกแบบ
- ยืดหยุ่นและพัฒนาได้ตามยุคสมัย
สไตล์ลอฟท์ถือกำเนิดจากพื้นที่โรงงานในนิวยอร์ก ก่อนจะค่อย ๆ ถูกพัฒนาให้เข้ากับการอยู่อาศัยยุคใหม่ จุดแข็งของลอฟท์คือการปรับตัวได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นแนวโมเดิร์นที่เน้นความเรียบและวัสดุใหม่ ๆ หรือแนวอบอุ่นที่ใช้ไม้และแสงธรรมชาติเพิ่มบรรยากาศให้นุ่มนวลขึ้น แนวคิดของลอฟท์จึงไม่ยึดติดรูปแบบ แต่เปิดกว้างให้ตีความได้ตามรสนิยมและการใช้ชีวิต

รูปแบบการออกแบบภายในบ้านให้เป็นสไตล์ Loft ในปัจจุบัน
สไตล์ลอฟท์ในอดีตอาจเริ่มจากโกดังและโรงงานเก่าที่ถูกดัดแปลงให้เป็นที่อยู่อาศัย แต่เมื่อได้รับความนิยมในวงกว้าง ลอฟท์จึงไม่ได้จำกัดอยู่แค่พื้นที่อุตสาหกรรมอีกต่อไป ปัจจุบันมันได้กลายเป็นแนวทางการออกแบบภายในที่หลากหลายและยืดหยุ่น
ปัจจุบัน ลอฟท์ได้แตกแขนงออกเป็นหลายรูปแบบ ตั้งแต่แนวอุตสาหกรรมแบบดิบแท้ ไปจนถึงแนวอบอุ่นหรือสร้างสรรค์ที่ผสมผสานกับสไตล์อื่น ๆ ได้อย่างลงตัว ซึ่งแต่ละแบบล้วนสะท้อนมุมมองที่แตกต่างของการใช้ชีวิตและความฉพาะตัว
1.Industrial Loft
ต้นแบบของแนวคิดความงามจากความดิบ ด้วยโครงสร้างของพื้นที่มักแสดงให้เห็นวัสดุจริง เช่น อิฐโชว์แนว คอนกรีตเปลือย เหล็กดำ หรือท่อเดินสายที่โชว์ให้เห็นเป็นส่วนหนึ่งของดีไซน์ เพดานสูงและหน้าต่างบานใหญ่ช่วยให้แสงธรรมชาติส่องเข้ามาได้เต็มที่ เหมาะกับการจัดแปลนแบบเปิดโล่ง
เฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งจะเน้นวัสดุที่ให้สัมผัสดิบ เช่น เหล็กดัด ไม้รีไซเคิล หรือหนังแท้โทนเข้ม เพื่อเสริมบรรยากาศให้ดูมีอายุและอบอุ่นไปพร้อมกัน โทนสีที่ใช้มักเป็นเทา ดำ หรือน้ำตาลเข้ม ผสมผสานกับพื้นผิวคอนกรีตหรือเหล็กอย่างมีสมดุล
2.Modern and Minimal Loft
ต่อยอดจาก Industrial Loft แต่ลดทอนความดิบลงและเพิ่มความเรียบสะอาดของเส้นสาย ผ่านโครงสร้างยังคงเปิดโล่งแบบ Open Plan ด้วยการเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ทรงเรียบ โทนสีอ่อน เช่น ขาว เทา หรือเบจ เพื่อให้ดูทันสมัย สบายตา และเพิ่มพื้นที่กว้างด้วยการออกแบบภายในบ้าน
3.Soft Loft or Residential Loft
ลอฟท์ประเภทนี้เกิดจากการปรับแนวคิดลอฟท์ให้เหมาะกับการใช้ชีวิตจริงในบ้าน แต่เพิ่มองค์ประกอบที่ให้ความรู้สึกอบอุ่น เช่น ไม้สีอ่อน ผ้าเนื้อหนา และแสงจากโคมไฟดีไซน์เรียบ ตอบโจทย์คนที่ต้องการบรรยากาศความดิบและความรู้สึกอบอุ่น เหมาะสำหรับการอยู่อาศัยระยะยาว
4.Eclectic and Creative Loft
สะท้อนความคิดสร้างสรรค์ของผู้อยู่อาศัยอย่างชัดเจน เพราะเป็นการผสมผสานวัสดุ สี และสไตล์ต่างยุคเข้าด้วยกัน โดยไม่ยึดติดกรอบเดิมของลอฟท์แบบอุตสาหกรรม ด้วยโครงสร้างหลักยังคงเปิดโล่ง เพดานสูง และโชว์พื้นผิววัสดุจริง แต่เพิ่มรายละเอียดของเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งที่มีความหลากหลายมากขึ้น เช่น ของวินเทจ งานศิลปะร่วมสมัย หรือเฟอร์นิเจอร์ไม้ที่มีโทนสีจัด เพื่อให้บรรยากาศของพื้นที่มีชีวิตชีวาและสะท้อนรสนิยมเฉพาะตัว เหมาะกับผู้ที่ต้องการพื้นที่ซึ่งเป็นได้ทั้งบ้าน พื้นที่ทำงาน และมุมสร้างสรรค์ในเวลาเดียวกัน เหมาะกับผู้ที่ต้องการพื้นที่ซึ่งเป็นได้ทั้งบ้าน พื้นที่ทำงาน และมุมสร้างสรรค์ในเวลาเดียวกัน
ออกแบบภายในบ้านสไตล์ Loft by Us Furnish เพื่อบ้านดีไซน์ตอบโจทย์รูปแบบการใช้ชีวิต
มากว่าเจ็ดทศวรรษตั้งแต่การออกแบบภายในบ้านสไตล์ลอฟท์ถือกำเนิด แต่แนวคิดของการออกแบบแบบนี้ยังคงอยู่ในใจของนักออกแบบและเจ้าของบ้านทั่วโลก เพราะลอฟท์เป็นภาษาของความเรียบง่ายที่สะท้อนโลกทัศน์ของคนยุคใหม่ ซึ่งให้ความสำคัญกับความจริงแท้มากกว่าความสมบูรณ์แบบ
การพัฒนาอย่างต่อเนื่องของลอฟท์ในยุคปัจจุบัน ยังแสดงให้เห็นว่ารูปแบบนี้สามารถปรับตัวเข้ากับสังคมเมืองได้อย่างน่าสนใจ จากพื้นที่โกดังในอดีต กลายเป็นบ้านที่เรียบเท่และทันสมัย หรือคอนโดที่ใช้วัสดุดิบแต่ยังคงความนุ่มนวลผ่านแสงและสีธรรมชาติ การผสมผสานนี้ทำให้ลอฟท์มีมิติทางอารมณ์ ทั้งความแข็งแรงของโครงสร้างและความผ่อนคลายของบรรยากาศอยู่ร่วมกันได้อย่างลงตัว
ที่สำคัญ ลอฟท์ยังสอดคล้องกับแนวคิดความยั่งยืนในยุคปัจจุบัน เพราะการโชว์วัสดุจริงและการรีโนเวต อาคารเก่าเป็นการใช้ทรัพยากรอย่างมีคุณค่า มันไม่เพียงลดการสร้างใหม่โดยไม่จำเป็น
Us Furnish เห็นคุณค่าของการออกแบบภายในบ้านสไตล์ Loft และพร้อมสนับสนุนบ้านที่ตอบโจทย์คนยุคใหม่ที่แสวงหาความจริง ความเรียบง่าย และความหมายในพื้นที่ที่ตนอยู่อาศัย เพราะบ้านที่ดีต้องตอบสนองทั้งดีไซน์และรูปแบบการใช้ชีวิตอย่างแท้จริง
- Published in blog
การออกแบบเพื่อสนับสนุนการใช้พื้นอย่างคุ้มค่าสำหรับคนเมือง
การตกแต่งบ้านด้วยตนเองเป็นสิ่งที่หลายคนใฝ่ฝัน เพราะอยากให้ทุกมุมของบ้านสะท้อนตัวตนและรสนิยมอย่างที่ต้องการ ซึ่งการเลือกเฟอร์นิเจอร์ สี หรือบรรยากาศด้วยมือของตัวเองนั้นดูเป็นเรื่องที่น่าสนุกและน่าตื่นเต้น แต่เมื่อเริ่มลงมือจริง หลายคนกลับพบว่าการจัดการพื้นที่ให้สวยและใช้งานได้อย่างลงตัวนั้นไม่ง่ายอย่างที่คิด
การออกแบบตกแต่งบ้านจึงไม่ใช่เพียงการเลือกของที่ชอบเท่านั้น แต่ยังต้องอาศัยการวางแผนอย่างรอบคอบ ทั้งในด้านโครงสร้าง แสง วัสดุ และงบประมาณ เพื่อให้ทุกองค์ประกอบทำงานร่วมกันได้อย่างสมบูรณ์ การเข้าใจข้อจำกัดและความซับซ้อนของงานออกแบบ จึงเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่ช่วยให้เจ้าของบ้านตัดสินใจได้ถูกทาง
ในปัจจุบัน แนวโน้มของการตกแต่งบ้านยังสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงของวิถีชีวิตคนเมืองที่ต้องการพื้นที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์ทั้งความสวยงามและการใช้งานจริง พื้นที่จำกัดจึงต้องถูกออกแบบให้ใช้ได้อย่างคุ้มค่า ขณะเดียวกันเทคโนโลยีและวัสดุสมัยใหม่ก็เปิดโอกาสให้บ้านมีฟังก์ชันที่ยืดหยุ่นมากขึ้น ตั้งแต่ระบบแสงอัจฉริยะ วัสดุรักษ์สิ่งแวดล้อม ไปจนถึงเฟอร์นิเจอร์แบบปรับเปลี่ยนได้ ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องอาศัยความเข้าใจเชิงเทคนิคและการออกแบบเชิงลึก เพื่อให้บ้านกลายเป็นพื้นที่ที่ตอบสนองความต้องการของผู้อยู่อาศัย

ความผิดพลาดที่มักพบ เมื่อเลือกออกแบบตกแต่งบ้านด้วยตนเอง
-
ขาดการวางแผนภาพรวมของบ้าน
เจ้าของบ้านในเมืองมักเริ่มตกแต่งจากภาพอ้างอิงที่ชอบในอินเทอร์เน็ต โดยยังไม่ได้คำนวณขนาดพื้นที่จริง หรือวิเคราะห์การใช้งานในชีวิตประจำวัน ทำให้บางส่วนของบ้านใช้งานได้ไม่เต็มที่ เช่น วางโต๊ะกินข้าวชิดประตู ระยะเปิดตู้เสื้อผ้าไม่พอ หรือโซนทำงานรบกวนโซนพักผ่อน ทั้งหมดนี้เกิดจากการขาดการวางแผนพื้นที่ตั้งแต่ต้น
-
เลือกวัสดุจากความสวย ไม่ใช่การใช้งาน
ในเมืองที่เต็มไปด้วยฝุ่นและความชื้นสูง การเลือกวัสดุเพียงเพราะภาพลักษณ์ภายนอกอาจกลายเป็นปัญหา เช่น ใช้พื้นไม้แท้ที่บวมน้ำง่ายในห้องครัว ผ้าม่านหนาหนักจนเก็บฝุ่น หรือโซฟาผ้าสีอ่อนที่ดูหรูแต่ดูแลยากในห้องที่ติดถนน การเลือกวัสดุไม่สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมและการดูแลจึงทำให้บ้านดูโทรมเร็วกว่าที่ควร
-
วางงบประมาณไม่สัมพันธ์กับพื้นที่จริง
คนเมืองจำนวนมากเริ่มจากการตกแต่งบางมุมก่อน เช่น มุมนั่งเล่นหรือห้องนอน แต่พอขยับแต่งทั้งห้องหรือทั้งชั้น งบประมาณกลับไม่เพียงพอ เพราะไม่ได้วางโครงรวมไว้ตั้งแต่แรก การไม่มีการจัดลำดับความสำคัญของงบ เช่น งานระบบก่อนงานตกแต่ง หรือเฟอร์นิเจอร์หลักก่อนของตกแต่งย่อย ทำให้ต้องหยุดงานกลางทางหรือลดคุณภาพวัสดุบางส่วนลง
-
ไม่เข้าใจระบบไฟฟ้าและจุดปลั๊กในพื้นที่จำกัด
บ้านในเมืองมักมีจำนวนปลั๊กและตำแหน่งจำกัด การติดตั้งเฟอร์นิเจอร์โดยไม่วางแผนจุดไฟไว้ล่วงหน้าทำให้ต้องใช้ปลั๊กพ่วงหรือสายต่อยาวเต็มพื้น ซึ่งไม่เพียงดูไม่เรียบร้อยแต่ยังเสี่ยงต่อความปลอดภัย หากไม่มีแบบระบบไฟฟ้าที่สัมพันธ์กับตำแหน่งเฟอร์นิเจอร์และแสงสว่าง ก็อาจต้องรื้อผนังหรือฝ้าใหม่เพื่อแก้ภายหลัง
-
ขนาดเฟอร์นิเจอร์ไม่เหมาะกับพื้นที่
พื้นที่ในบ้านทาวน์โฮมมีขนาดจำกัด ทำให้การเลือกโซฟา โต๊ะ หรือเตียงโดยไม่วัดขนาดจริงทำให้ห้องดูแน่นและอึดอัดทันที บางครั้งการเปิดประตูหรือหน้าต่างยังทำได้ไม่เต็มที่ ซึ่งการจัดเฟอร์นิเจอร์แบบไม่คำนึงถึงเส้นทางการเดินภายในห้องยังทำให้บ้านเสียความโล่งและเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย
-
มองข้ามการออกแบบแสงและบรรยากาศ
ชีวิตคนเมืองส่วนใหญ่ต้องอยู่ในพื้นที่ที่มีหน้าต่างเล็กหรือถูกอาคารรอบข้างบังแสง แต่การไม่ออกแบบแสงภายในให้เหมาะสมทำให้ห้องดูมืดและอึดอัด โดยเฉพาะในคอนโดที่ใช้ไฟเพดานเพียงจุดเดียว แสงที่กระจายไม่ทั่วถึงยิ่งทำให้พื้นที่ดูแคบและไม่อบอุ่น การเลือกแสงที่ถูกโทนจึงมีผลต่อความรู้สึกของการพักอาศัยโดยตรง
-
ไม่คุมภาพรวมของสไตล์และโทนสีให้สอดคล้องกัน
สำหรับพื้นที่อยู่อาศัยในเมืองที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก ความกลมกลืนของสีและสไตล์ถือเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างบรรยากาศให้บ้านดูโปร่งและสบายตา แต่สิ่งที่มักเกิดขึ้นโดยไม่ตั้งใจ คือการเลือกของตกแต่งจากหลายแรงบันดาลใจโดยไม่มีแนวทางกลาง ทำให้แต่ละมุมของบ้านมีอารมณ์ต่างกันจนขาดเอกภาพ แม้จะดูสวยในมุมของตัวเอง แต่เมื่ออยู่ร่วมกันในพื้นที่เดียวกันกลับรู้สึกไม่ต่อเนื่อง

แก้ปัญหาการออกแบบตกแต่งบ้านด้วยมุมมองของมืออาชีพ Us Furnish
ในเชิงการออกแบบ การตกแต่งบ้านมีองค์ประกอบสำคัญที่ต้องพิจารณา ซึ่งส่งผลต่อการใช้งานและความสบายของผู้อยู่อาศัย ตั้งแต่โครงสร้าง วัสดุ แสง ไปจนถึงการจัดสัดส่วนพื้นที่ ซึ่งหากขาดการวางแผนอย่างรอบคอบ ย่อมทำให้เกิดปัญหาที่ส่งผลต่อทั้งความสวยงามและประโยชน์ใช้สอย
ทีมออกแบบตกแต่งบ้านจากมืออาชีพ เช่น US Furnish จึงเข้ามาช่วยดูแลตั้งแต่ระยะต้น เพื่อป้องกันความผิดพลาด ผ่านกระบวนการออกแบบที่ตรงจุดและเป็นระบบ ครบทั้งดีไซน์ ฟังก์ชัน และงบประมาณ
- นักออกแบบช่วยสร้างแผนที่ชัดเจนตั้งแต่ต้น
นักออกแบบภายในจะเริ่มจากการวิเคราะห์พื้นที่จริง วัดขนาดห้อง วางทิศทางแสง และจัดการโซนการใช้งานให้สัมพันธ์กันทุกห้อง ก่อนสรุปเป็นแบบแปลนและภาพจำลองสามมิติ (3D Perspective) เพื่อให้เจ้าของบ้านเห็นภาพรวมตั้งแต่ก่อนเริ่มงานจริง จึงสามารถปรับแก้แนวคิดหรือจัดสมดุลระหว่างสไตล์กับฟังก์ชันได้ก่อนลงมือก่อสร้าง
- คัดวัสดุที่เหมาะกับแต่ละพื้นที่
มืออาชีพจะรู้ว่าวัสดุแบบใดทนต่อความชื้น แดด หรือการขีดข่วนได้ดีกว่า และเลือกใช้ให้เหมาะสมกับลักษณะห้อง เช่น แนะนำกระเบื้องกันลื่นในห้องน้ำ ผ้าม่านกันยูวีในห้องที่โดนแดด หรือพื้นไม้ลามิเนตที่คุมโทนกับผนังโดยไม่เสียความทนทาน การเลือกวัสดุอย่างถูกประเภทจึงช่วยยืดอายุการใช้งานและลดค่าใช้จ่ายซ่อมบำรุงในระยะยาว
- ช่วยควบคุมงบและแยกค่าใช้จ่ายเป็นระบบ
Interior จะจัดทำแผนงบประมาณ แล้วเสนอราคาที่แยกตามหมวด เช่น งานบิลต์อิน วัสดุปิดผิว เฟอร์นิเจอร์ หรือแสงไฟ เพื่อให้เจ้าของบ้านเห็นภาพรวมของค่าใช้จ่ายล่วงหน้า และสามารถปรับงบได้ตามความสำคัญของแต่ละส่วน ซึ่งการมีแผนการเงินที่ชัดเจนตั้งแต่ต้นช่วยลดความเสี่ยงงบบานปลาย และทำให้งานเสร็จตรงตามแผนที่วางไว้
- วางผังระบบให้สอดคล้องกับดีไซน์
นักออกแบบภายในจะร่วมทำงานกับวิศวกรระบบไฟ เพื่อกำหนดจุดปลั๊ก สวิตช์ และตำแหน่งเครื่องใช้ไฟฟ้าให้เหมาะสมกับเฟอร์นิเจอร์และทิศทางการใช้งาน เช่น การวางปลั๊กซ่อนใต้โต๊ะ หรือการซ่อนสายไฟในผนัง พร้อมออกแบบแสงให้สอดรับกับฟังก์ชันของแต่ละพื้นที่ ช่วยลดการรื้อแก้และทำให้งานจบครบตั้งแต่ขั้นตอนแรก
- นักออกแบบช่วยกำหนดสัดส่วนและออกแบบ Built – in
นักออกแบบจะคำนวณขนาดของเฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นให้เหมาะกับพื้นที่จริง ทั้งทางเดิน ความสูงของฝ้า และระยะเปิดปิดประตู เพื่อให้ใช้งานได้อย่างปลอดภัยและสะดวก นอกจากนี้ยังสามารถออกแบบเฟอร์นิเจอร์แบบบิลต์อินเพื่อเพิ่มพื้นที่จัดเก็บโดยไม่ทำให้ห้องดูแน่นเกินไป ช่วยให้บ้านดูเป็นระเบียบและใช้พื้นที่ได้คุ้มค่าทุกตารางเมตร
- วางระบบแสงอย่างมีชั้นเชิง
นักออกแบบภายในจะจัดแสงแบบ “Layered Lighting” แบ่งเป็นแสงหลัก แสงทำงาน และแสงตกแต่ง เพื่อสร้างอารมณ์ที่แตกต่างในแต่ละช่วงเวลา เช่น ห้องนั่งเล่นใช้ไฟอบอุ่น ห้องทำงานใช้ไฟขาว และโถงทางเดินใช้ไฟซ่อนเพื่อความนุ่มนวล การออกแบบแสงที่ดีช่วยให้บ้านดูมีชีวิตชีวาและสบายตาโดยไม่ต้องเพิ่มค่าไฟเกินจำเป็น
US Furnish เพื่อการออกแบบตกแต่งบ้านที่ตอบโจทย์คนเมืองอย่างไร้ซึ่งอุปสรรคปัญหา
ในยุคที่พื้นที่อยู่อาศัยของคนเมืองมีจำกัด การออกแบบตกแต่งบ้านอย่างมืออาชีพไม่เพียงช่วยให้บ้านดูสวยงาม แต่ยังทำหน้าที่เป็นการวางระบบชีวิตภายในพื้นที่อย่างชาญฉลาด เพราะทุกมุมของบ้านสามารถถูกออกแบบให้รองรับทั้งการพักผ่อน การทำงาน และการใช้ชีวิตได้อย่างลงตัว ภายใต้งบประมาณที่ควบคุมได้และรายละเอียดที่คิดมาอย่างรอบคอบ
บริการออกแบบตกแต่งบ้านจาก US Furnish ไม่ได้มุ่งเพียงสร้างบรรยากาศที่น่าอยู่เท่านั้น แต่ยังช่วยให้เจ้าของบ้านใช้พื้นที่ได้เต็มศักยภาพ พร้อมเพิ่มคุณค่าทางความรู้สึกให้กับทุกวันของการอยู่อาศัย บ้านแต่ละหลังย่อมมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และหน้าที่ของนักออกแบบคือการถ่ายทอดเอกลักษณ์นั้นออกมาให้ชัดเจนที่สุด ทั้งในมิติของดีไซน์ ฟังก์ชัน และความรู้สึกของความสะดวกสบายในการใช้ชีวิต
เมื่อบ้านได้รับการออกแบบอย่างเข้าใจ ไม่ว่าจะมีขนาดเท่าใดหรืออยู่ในทำเลแบบไหน สามารถกลายเป็นพื้นที่ที่ตอบโจทย์ทั้งความงามและการใช้ชีวิตได้อย่างคุ้มค่าในทุกตารางเมตร เพราะบ้านที่ออกแบบด้วยความตั้งใจสะท้อนตัวตนของผู้อยู่อาศัยได้ดี
- Published in blog
แนวคิด Biophilic เพื่อการผสมผสานให้บ้านเป็นที่พักอาศัยครองใจทุกคนครอบครัว
หลายครัวเรือนประกอบไปด้วยผู้สูงวัย พ่อแม่วัยทำงาน และลูกหลานรุ่นใหม่อาศัยอยู่ร่วมกันภายใต้ชายคาเดียวกัน ทำให้เกิดการอยู่ร่วมกันของคนต่างวัย แม้จะสร้างสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น แต่ความแตกต่างทางด้านความต้องการ ความสะดวกสบาย รูปแบบและพฤติกรรมการใช้ชีวิตนั้นมีความแตกต่างที่ควรเคารพหรือเข้าใจ เช่น บ้านที่ผู้สูงวัยใฝ่ฝัน คือ พื้นที่เงียบสงบและปลอดภัย ขณะที่คนรุ่นใหม่มักต้องการมุมที่สามารถสะท้อนตัวตนและสร้างแรงบันดาลใจ หากการออกแบบบ้านไม่สามารถตอบสนองความต้องการเหล่านี้ได้ บ้านอาจกลับกลายเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยข้อจำกัดและความไม่สบายใจ มากกว่าจะเป็นแหล่งพักพิงที่แท้จริง
แนวคิด Biophilic Design หรือการออกแบบตกแต่งบ้านที่ผสานธรรมชาติเข้ากับพื้นที่อยู่อาศัย จึงได้รับความสนใจมากขึ้น เพราะนอกจากจะช่วยสร้างบรรยากาศที่กลมกลืนกับสิ่งแวดล้อมและน่าอยู่แล้ว ยังช่วยให้สมาชิกทุก Generation ในบ้านรู้สึกผ่อนคลาย เสริมสุขภาพกายและจิตใจ และสามารถใช้ชีวิตร่วมกันได้อย่างสมดุลและกลมกลืน

หลักการออกแบบตกแต่งบ้านสไตล์ Biophilic Design เพื่อที่อาศัยในฝันสำหรับครอบครัว
บ้านในฝันของครอบครัวแต่ละหลัง อาจมีภาพในใจแตกต่างกันออกไป บางคนอยากได้ความสงบและปลอดภัยสำหรับผู้สูงวัย บางคนให้ความสำคัญกับพื้นที่ที่ช่วยสร้างสมดุลระหว่างงานกับการพักผ่อน ทำให้บ้านที่ดีควรเป็นศูนย์กลางที่หลอมรวมความต้องการเหล่านี้เข้าด้วยกัน ซึ่งเป็นรูปแบบการออกแบบตกแต่งบ้านด้วย Biophilic Design เป็นสไตล์ที่ตอบโจทย์ด้วยหลักการผสมผสานที่สำคัญทั้ง 3 คือ
- แสงธรรมชาติ
แสงเป็นหัวใจของการออกแบบตกแต่งบ้านที่ดี โดยสามารถปรับอารมณ์และสร้างพลังบวกให้แก่ผู้อยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็นผู้สูงอายุและสมาชิกในครอบครัวรุ่นอื่น ๆ เช่น Gen Z มักมองหาแสงธรรมชาติที่สามารถสร้างมุมถ่ายรูปหรือทำคอนเทนต์ให้ออกมาดูสวยงามและน่าสนใจ
สำหรับคนวัยทำงานหรือกลุ่ม Gen Y การจัดแสงให้ส่องถึงโต๊ะทำงานโดยตรงช่วยเพิ่มสมาธิและประสิทธิภาพในการทำงาน โดยอาจเลือกใช้ม่านโปร่งเพื่อลดความจ้าและกระจายแสงให้ทั่วถึง
- วัสดุธรรมชาติ
การเลือกใช้วัสดุเป็นอีกองค์ประกอบที่สำคัญของการออกแบบตกแต่งบ้านสำหรับผู้สูงอายุ ควรเลือกใช้ไม้หรือหินที่ไม่ลื่นและปลอดภัยต่อการใช้งาน ซึ่งวัสดุธรรมชาติที่ให้ผิวสัมผัสอบอุ่นยังช่วยเพิ่มบรรยากาศให้บ้านดูน่าอยู่มากขึ้น อีกทั้งทางเลือกการใช้เฟอร์นิเจอร์บิ้วท์อินจากไม้หรือหินยังมีความแข็งแรงและทนทานต่อการใช้งาน สร้างความรู้สึกใกล้ชิดธรรมชาติและความคุ้มค่าในการออกแบบตกแต่งบ้าน
- การเชื่อมต่อระหว่างพื้นที่ภายในและภายนอก
Biophilic Design ให้ความสำคัญกับการทำให้บ้านและธรรมชาติเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียว ทำให้การมีสวนขนาดเล็กหรือพื้นที่เดินเล่นที่รายล้อมด้วยต้นไม้จะช่วยส่งเสริมทั้งสุขภาพกายและใจสำหรับผู้สูงอายุ
ในวัยทำงานอาจต้องการพื้นที่กลางแจ้งเล็ก ๆ เพื่อให้บุตรหลานได้ใช้เวลาทำกิจกรรมอย่างปลอดภัย หรือระเบียงเล็ก ๆที่คนรุ่นใหม่ชื่นชอบ เพื่อสร้างมุมพักผ่อนที่ผสมผสานตามความชื่นชอบในแต่ละบุคคล
ขั้นตอนการออกแบบตกแต่งบ้าน Biophilic กับ US Furnish
- ส่งแปลนและข้อมูลพื้นฐาน
ลูกค้าส่งแปลนและรายละเอียดพื้นที่ พร้อมบอกพฤติกรรมการใช้ชีวิตของสมาชิกในบ้านแต่ละเจน เพื่อให้ทีมงานเข้าใจทั้งโครงสร้างและความต้องการเชิงสุขภาวะ เช่น การรับแสงธรรมชาติ พื้นที่สีเขียว หรือมุมที่ต้องการความเงียบสงบ - ประเมินราคาเบื้องต้น
US FURNISH จะจัดทำราคาประเมินตามแปลนที่ส่งมา โดยคำนึงถึงการเลือกวัสดุธรรมชาติ การเชื่อมต่อ indoor–outdoor และฟังก์ชันที่ตอบโจทย์ทุกเจน ราคานี้เป็นเพียงจุดตั้งต้น ก่อนจะปรับตามพื้นที่จริง - มัดจำเริ่มงานและนัดสำรวจหน้างาน
เมื่อลูกค้าตกลง บริษัทจะเก็บเงินมัดจำ 5% ของราคาประเมิน และส่งทีมไปวัดพื้นที่จริง ทั้งมุมแสง ลม ทิศทางแดด และจุดที่สามารถเพิ่มพื้นที่สีเขียว เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลในการออกแบบ Biophilic ให้สอดคล้องกับสภาพจริง - ออกแบบ 3D และพูดคุยคอนเซ็ปต์ร่วมกัน
ทีมงานเริ่มสร้างแบบ 3D เสมือนจริง พร้อมหารือกับลูกค้าอย่างละเอียด ทั้งแนวคิด Biophilic การใช้วัสดุจากธรรมชาติ และการออกแบบที่ทำให้ผู้สูงวัย วัยทำงาน และคนรุ่นใหม่อยู่ร่วมกันได้อย่างสมดุล - ปรับแก้แบบจนกว่าจะพอใจ
หากแบบยังไม่ตอบโจทย์ ลูกค้าสามารถแก้ไขได้จนกว่าจะพอใจ เพราะ US Furnish เชื่อว่าบ้านคือพื้นที่ที่ลูกค้าจะใช้ชีวิตไปอีกยาวนาน และต้องสะท้อนทั้งความสวยงามและสุขภาพของคนในบ้านอย่างแท้จริง - สรุปราคาไฟนอล
เมื่อได้แบบ 3D ไฟนอลแล้ว บริษัทจะออกใบเสนอราคาใหม่ที่ยึดตามพื้นที่จริงและรายละเอียดที่ตกลงกัน โดยเงินมัดจำค่าออกแบบ 5% จะถูกหักคืนทั้งหมดในใบเสนอราคาไฟนอล หากลูกค้าดำเนินการตกแต่งบิ้วท์อินต่อกับบริษัท - ทำสัญญาผลิตและติดตั้ง
ขั้นสุดท้ายคือการผลิตและติดตั้งหน้างาน ทีมงานจะเลือกวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ควบคุมคุณภาพงานติดตั้ง และดูแลรายละเอียดการจัดแสง ช่องลม และการวางต้นไม้หรือมุมสีเขียว เพื่อให้บ้านออกมาตามคอนเซ็ปต์ Biophilic อย่างสมบูรณ์ ก่อนส่งมอบให้ลูกค้าเข้าอยู่ได้ทันที
ออกแบบตกแต่งบ้านตามหลัก Biophilic กับ US Furnish เพื่อความลงตัวที่คุ้มค่า
การออกแบบตกแต่งบ้านในปัจจุบันไม่ได้จำกัดอยู่เพียงความสวยงาม แต่ต้องตอบโจทย์คุณภาพชีวิตและความยั่งยืนของสมาชิกทุกคนในครอบครัว แนวคิด Biophilic Design จึงถูกยกให้เป็นหัวใจสำคัญของการสร้างบ้านในฝันที่ผสมผสานธรรมชาติเข้ากับวิถีชีวิตได้อย่างลงตัว
ประโยชน์ของการออกแบบสไตล์ Biophilic มีหลากหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นเสริมสุขภาพกายและใจ ความปลอดภัยและฟังก์ชันที่เหมาะสมกับทุก Gen เชื่อมโยงความสัมพันธ์ในครอบครัว และคงความคุ้มค่ายั่งยืน เพราะเป็นหนึ่งในการออกแบบที่ลดการใช้พลังงาน
US Furnish นำหลักการเหล่านี้มาประยุกต์ใช้ในทุกขั้นตอนของงานออกแบบตกแต่งบ้าน ตั้งแต่การประเมินพื้นที่จริง การออกแบบภาพ 3D ไปจนถึงการผลิตและติดตั้งจริง เพื่อให้บ้านแต่ละหลังไม่ใช่แค่สวย แต่ยังเป็นที่อยู่อาศัยที่สร้างสมดุลระหว่างคนกับธรรมชาติอย่างแท้จริง
หากคุณกำลังมองหาทีมงานที่เข้าใจทั้งศาสตร์การออกแบบและแนวคิด Biophilic Design อย่างลึกซึ้ง US Furnish พร้อมเป็นที่ปรึกษาและผู้ร่วมสร้างบ้านในฝันของคุณ ให้กลายเป็นพื้นที่ที่น่าอยู่ ปลอดภัย และคุ้มค่ากับการลงทุนตลอดไป
- Published in blog
ครัวดีไซน์ทั่วไปที่ไม่ตอบโจทย์ผู้ใช้อย่างแท้จริง
หลายครอบครัวหันมาให้ความสนใจกับการทำครัวบิ้วอินไม่ใช่เพียงเพราะต้องการความสวยงามหรือความทันสมัยเท่านั้น แต่เกิดจากข้อจำกัดที่พบเจอในครัวแบบเดิมที่ไม่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตจริง ครัวสำเร็จรูปหรือลอยตัวแม้จะติดตั้งง่าย แต่ก็มักมาพร้อมปัญหาต่าง ๆ เช่น พื้นที่จัดเก็บไม่เพียงพอ ของใช้กองเต็มเคาน์เตอร์จนทำให้ดูรกตา รูปแบบไม่เข้ากับโทนบ้าน หรือใช้วัสดุที่ไม่ทนทานจนเสียหายได้ง่าย
ยิ่งไปกว่านั้น หากฟังก์ชันการใช้งานไม่ตรงกับไลฟ์สไตล์ จะยิ่งสร้าปัญหาชัดเจน เช่น ผู้ที่ทำอาหารบ่อยต้องการพื้นที่จัดเก็บมากกว่าปกติ บางครอบครัวต้องการไอส์แลนด์กลางห้องสำหรับใช้งานและสังสรรค์ หรือบางคนอยากมีมุมเล็ก ๆ สำหรับทำกาแฟ แต่ครัวสำเร็จรูปไม่สามารถปรับให้ตรงตามความต้องการได้ ส่งผลให้ครัวกลายเป็นจุดอ่อนของบ้าน แทนที่จะเป็นพื้นที่ที่ใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
การทำครัวบิ้วอินจึงกลายเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยม เพราะสามารถแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ตรงจุด ทั้งด้านการใช้งานที่สะดวกสบาย ความสวยงามที่กลมกลืนไปกับบ้าน และความทนทานที่รองรับการใช้งานจริงในทุก ๆ วัน

แก้ไขปัญหาครัวทั่วไปด้วยการทำครัวบิ้วอินจาก 3 ปัจจัยสำคัญ
-
การใช้งาน (Functionality)
หนึ่งในปัญหาสำคัญของครัวทั่วไป คือ การจัดเก็บที่ไม่เป็นระบบและพื้นที่ใช้งานไม่เพียงพอ โดยเฉพาะในบ้านหรือคอนโดที่มีพื้นที่จำกัด ซึ่งครัวบิ้วอินถูกออกแบบให้ใช้พื้นที่อย่างคุ้มค่า ทั้งการทำตู้บิ้วอินสูงจรดเพดานเพื่อเก็บอุปกรณ์ที่ไม่ค่อยได้ใช้ การวางลิ้นชักและชั้นวางให้อยู่ในตำแหน่งเหมาะสมกับการหยิบจับ รวมถึงการออกแบบให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของเจ้าของบ้าน เช่น ผู้ที่ทำอาหารบ่อยอาจต้องการเคาน์เตอร์กว้างและมีพื้นที่วางอุปกรณ์ครบชุด
กล่าวได้ว่า ครัวบิ้วอินคือการแก้ปัญหาการใช้ครัวที่ไม่สะดวก และช่วยยกระดับให้การทำอาหารและการใช้ชีวิตในบ้านคล่องตัวมากขึ้น
-
ความสวยงาม (Aesthetic)
อีกหนึ่งปัญหาที่พบได้บ่อยคือครัวที่ไม่เข้ากับสไตล์การตกแต่งของบ้าน เพราะซื้อครัวสำเร็จรูปอาจได้ดีไซน์ที่ไม่สอดคล้องกับโทนสีหรือวัสดุภายในบ้าน ทำให้ครัวกลายเป็นส่วนที่แปลกแยก
ครัวบิ้วอินจึงเป็นทางออกที่ตอบโจทย์ เพราะสามารถเลือกสี วัสดุ และดีไซน์ให้สอดรับกับสไตล์การตกแต่งโดยรวม ไม่ว่าจะเป็นโทนมินิมอลที่เน้นความเรียบง่าย โทนโมเดิร์นที่ดูหรูหรา หรือโทนไม้ธรรมชาติที่อบอุ่น
นอกจากนี้ ครัวบิ้วอินยังช่วยทำให้พื้นที่ดูเรียบร้อยขึ้นด้วยการซ่อนการจัดเก็บ ลดความรกสายตา และสร้างบรรยากาศที่ดูสะอาด สงบ และเป็นระเบียบ ส่งผลให้บ้านมีภาพลักษณ์ที่ดีขึ้นทั้งในแง่ความสวยงามและคุณค่าทางจิตใจของผู้อยู่อาศัย
-
ความทนทาน (Durability)
สำหรับหลายบ้าน ครัวที่ซื้อแบบสำเร็จรูปมักมีปัญหาด้านวัสดุที่ไม่ทนต่อการใช้งานจริง เช่น ไม้บวมจากความชื้น หรือท็อปเคาน์เตอร์ที่เป็นรอยง่าย ซึ่งการทำครัวบิ้นอินสามารถแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้ เนื่องจากการเลือกใช้วัสดุที่มีคุณภาพสูงและเหมาะกับการใช้งานโดยตรง เช่น ไม้อัดกันชื้น หินควอตซ์ที่ทนต่อความร้อนและการขูดขีด หรือสเตนเลสที่ทำความสะอาดง่ายและไม่เป็นสนิม
เมื่อเลือกวัสดุและการติดตั้งที่มีมาตรฐาน ครัวบิ้วอินจะสามารถรองรับการใช้งานหนักในชีวิตประจำวันได้ดี ไม่ว่าจะเป็นการทำอาหารทุกมื้อ การล้างทำความสะอาดซ้ำ ๆ หรือการวางอุปกรณ์ขนาดใหญ่ อีกทั้งยังช่วยยืดอายุการใช้งานของครัวให้ยาวนานกว่าครัวทั่วไป
รูปแบบการทำครัวบิ้วอินที่ได้รับความนิยม ด้วยดีไซน์ ฟังก์ชัน และความชอบส่วนตัวของผู้ใช้งานจริง
- ครัวสไตล์ Modern
- ดีไซน์เรียบ เส้นสายตรง ใช้สีพื้นอย่างขาว เทา ดำ หรือโทนเอิร์ธโทน
- วัสดุยอดฮิต เช่น ท็อปหินสังเคราะห์ (Quartz, Granite) กระจก หรือสเตนเลส
- ถูกใจคนรุ่นใหม่ที่ชอบความหรูหราและทำความสะอาดง่าย
- ครัว Minimal Style
- โทนสีอ่อน ขาว ครีม ไม้ธรรมชาติ
- เน้นความโล่ง โปร่งตา มีตู้เก็บของซ่อนสายตา
- เหมาะสำหรับครอบครัวที่ชอบครัวเป็นระเบียบและไม่รก
- Luxury Kitchen
- ใช้วัสดุหรู เช่น หินอ่อน ไม้แท้ โลหะเงา
- มีไอส์แลนด์กลางห้องเป็นจุดเด่น และบางครั้งผสมผสานโซนบาร์เครื่องดื่ม
- เป็นที่ชื่นชอบของเจ้าของบ้านที่อยากโชว์ครัวเป็นพื้นที่สังคม
- ครัวสไตล์คลาสสิก
- ใช้โทนสีครีม ขาวอมเทา หรือน้ำตาลอ่อน ตกแต่งด้วยบัวเชิงผนังหรือมือจับทองเหลือง
- ให้ความรู้สึกอบอุ่น หรูหราเหนือกาลเวลา
- คนที่ชอบบรรยากาศบ้านยุโรปหรืออบอุ่นสไตล์ครอบครัวใหญ่ มักเลือกแบบนี้
- Semi-Open Kitchen
- แก้ปัญหากลิ่นและเสียงรบกวน แต่ยังคงบรรยากาศเชื่อมกับห้องนั่งเล่น
- ใช้กระจกบานเลื่อนหรือประตูบานเฟี้ยม ทำให้ปรับได้ทั้งปิดและเปิด
- ถูกใจครอบครัวที่ชอบทำอาหารจริงจังแต่ก็อยากให้ครัวเป็นส่วนหนึ่งของบ้าน
- Compact Kitchen
- ได้รับความนิยมในคอนโดและบ้านพื้นที่จำกัด
- ดีไซน์บิ้วอินเข้ามุม เช่น ตัว L หรือ I-Shape
- ใช้ตู้บิ้วอินสูงจรดเพดาน เพิ่มพื้นที่เก็บของ
ทำครัวบิ้วอินในสไตล์ที่ตอบโจทย์ด้วยบริการมืออาชีพจาก US Furnish
การทำครัวบิ้วอินไม่เพียงแต่เป็นเรื่องของความสวยงามที่ช่วยให้บ้านดูทันสมัยและมีเอกภาพ แต่ยังตอบโจทย์ด้านการใช้งานและความทนทานที่ครัวรูปแบบสำเร็จรูปมักไม่สามารถมอบให้ได้ ครอบครัวที่เลือกครัว บิ้วอินจึงได้ทั้งฟังก์ชันที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ ความกลมกลืนกับการตกแต่งบ้าน และวัสดุที่รองรับการใช้งานหนักในระยะยาว
เมื่อมองในภาพรวม ทำครัวบิ้วอินเป็นการลงทุนที่ช่วยแก้ปัญหาครัวเดิม ๆ ได้อย่างตรงจุด และยังยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในบ้านให้สะดวกสบายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นครัวขนาดเล็กในคอนโด หรือครัวขนาดใหญ่ในบ้านเดี่ยว หากออกแบบอย่างรอบคอบและเลือกใช้วัสดุที่มีคุณภาพ ครัวบิ้วอินจะกลายเป็นหัวใจของบ้านที่ใช้งานได้จริงทุกวัน พร้อมสร้างบรรยากาศที่อบอุ่นและมีคุณค่าในระยะยาว
สำหรับผู้ที่กำลังมองหาบริการทำครัวบิ้วอินที่ครบวงจร US Furnish ถือเป็นหนึ่งในทางเลือกที่น่าสนใจ ด้วยทีมงานมืออาชีพที่ให้คำปรึกษาตั้งแต่การออกแบบ เลือกวัสดุ ไปจนถึงการติดตั้งจริง โดยเน้นงานที่ได้มาตรฐานและใส่ใจรายละเอียด ทำให้ครัวบิ้วอินที่ได้ไม่เพียงสวยงาม แต่ยังคงทน ใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เหมาะสำหรับครอบครัวที่ต้องการครัวที่สะท้อนทั้งรสนิยมและความคุ้มค่าในระยะยาว
- Published in blog
เลือกดีไซน์บิ้วอินให้เหมาะกับห้องนอนขนาดเล็ก
หลังจากกลับจากทำงานหรือออกไปใช้ชีวิตข้างนอกมาทั้งวัน อยากกลับมานอนพักผ่อนที่ห้องนอนแต่ห้องนอนก็เล็กซะเหลือเกิน ดูอึดอัด คับแคบ ดูไม่น่านอนสุดๆ และบางทีห้องนอนขนาดเล็กทำให้คุณรู้สึกว่าพื้นที่ไม่พอในการวางของใช้หรือเฟอร์นิเจอร์เลย
เพราะห้องนอนเป็นมากกว่าสถานที่สำหรับการหลับนอน แต่เป็นพื้นที่ที่สะท้อนตัวตนและช่วยให้คุณรู้สึกผ่อนคลายหลังจากใช้ชีวิตมาเหนื่อยๆ หนึ่งในเทคนิคที่จะช่วยให้ห้องนอนเล็กๆ ดูเป็นระเบียบใช้พื้นที่คุ้มค่า มีความ Cozy ทุกตารางนิ้วคือ การบิ้วอินห้องนอนขนาดเล็ก ยกตัวอย่างเช่น เตียงบิ้วอินที่ซ่อนพื้นที่เก็บของ ชั้นวางของติดผนังที่ช่วยลดความเกะกะ หรือโต๊ะพับที่ซ่อนตัวได้เมื่อต้องการพื้นที่ว่าง แต่นอกจากการบิ้วอินแล้ว เรื่องการสร้างบรรยากาศในห้องนอนก็สำคัญ บรรยากาศที่ Cozy นั้นมาจากการเลือกโทนสี แสงไฟ และของตกแต่งอีกด้วย ซึ่งของเหล่านี้จะช่วยให้ห้องนอนเล็กๆของคุณกลายเป็นมุมโปรดที่อยากลับมาพักผ่อนทุกวัน
บทความนี้เราจะพาคุณมาดูไอเดียการแต่งห้องนอนขนาดเล็กให้ Cozy พร้อมเทคนิคบิ้วอินสุดเจ๋ง ที่จะช่วยให้ห้องของคุณทั้งสวย น่าอยู่ และใช้งานได้อย่างลงตัว
หากพูดถึงเรื่องการเลือกดีไซน์บิ้วอินให้เหมาะกับห้องนอนขนาดเล็กนั้นไม่ใช่เพียงแค่เรื่องความสวยงาม แต่เป็นหนึ่งในเรื่องที่ต้องใส่ใจรายละเอียด เพราะต้องคำนึงถึงการใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และเพื่อให้ห้องยังดูกว้าง ไม่รกเกินไปและสร้างบรรยากาศที่ Cozy น่าอยู่ แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องยาก เพราะเพียงแค่เลือกดีไซน์บิ้วอินที่เหมาะกับห้องขนาดเล็กคุณก็สามารถเปลี่ยนพื้นที่เล็กๆ ให้เป็นมุมพักผ่อนน่านอนสุดๆ ได้
ใช้เฟอร์นิเจอร์บิ้วอินแบบมัลติฟังก์ชัน
เนื่องจากห้องที่มีขนาดเล็ก แน่นอนว่าปัญหาก็คือพื้นที่ที่จำกัดเพราะบางทีแค่วางเฟอร์นิเจอร์นิดเดียวก็อาจจะทำให้ห้องดูแน่นไปหมดแต่ปัญหานี้แก้ได้ง่ายๆ ด้วยการเลือกบิ้วอินเฟอร์นิเจอร์แบบมัลติฟังก์ชัน(Multi-Functional Furniture) ช่วยให้ห้องดูโปร่งและสะอาดตา ไม่รกและไม่ดูแออัดจนเกินไป โดยเฉพาะในการบิ้วอินห้องนอนขนาดเล็ก ซึ่งเฟอร์นิเจอร์มัลติฟังก์ชันก็มีให้เลือกหลายแบบ ยกตัวอย่างเช่น
- เตียงมัลติฟังก์ชัน
-เตียงบิ้วอินพร้อมลิ้นชักเก็บของ: โดยจะเป็นการใช้พื้นที่ใต้เตียงให้เป็นที่เก็บของ
-เตียง Murphy (เตียงพับติดผนัง): เหมาะสำหรับห้องที่ต้องการใช้พื้นที่ในช่วงกลางวัน สามารถพับเตียงเก็บได้เมื่อต้องการพื้นที่โล่ง
-เตียงยกสูงพร้อมพื้นที่ด้านล่าง: สามารถออกแบบให้เป็นมุมทำงาน มุมอ่านหนังสือ หรือที่เก็บของ
- ตู้เสื้อผ้าบิ้วอิน
-ตู้เสื้อผ้าสูงถึงเพดาน: ใช้พื้นที่แนวตั้งให้คุ้มค่า เก็บของได้เยอะขึ้น
-ตู้เสื้อผ้าแบบบานเลื่อน: ลดการใช้พื้นที่เปิด-ปิดตู้
- ชั้นวางของติดผนัง
-ชั้นวางของแบบแขวน: ใช้เก็บของหรือของตกแต่ง โดยไม่ต้องใช้ตู้ขนาดใหญ่
-ชั้นวางของเหนือประตูหรือหัวเตียง: เพิ่มพื้นที่เก็บของแบบไม่รบกวนพื้นที่ใช้งาน
สีและแสงไฟในห้องก็ช่วยให้ Cozy ได้!
ห้องนอนขนาดเล็กอาจทำให้รู้สึกอึดอัดหรือคับแคบ แต่จริงๆแล้ว ทริคเล็กๆอย่างการเลือกโทนสีและแสงไฟที่เหมาะสม ก็สามารถเปลี่ยนบรรยากาศของห้องให้ดูอบอุ่นและน่านอนขึ้นได้ ด้วยการเลือกใช้สีเอิร์ธโทน หรือ พาสเทล ช่วยให้ห้องดูโปร่งและสบายตา
นอกจากนี้แสงไฟก็เป็นอีกองค์ประกอบสำคัญที่จะช่วยสร้างบรรยากาศให้มีความ Cozy มากยิ่งขึ้นด้วยการใช้แสงที่เหมาะสมจะทำให้ห้องอบอุ่น
- แสงไฟที่แนะนำสำหรับห้องนอน Cozy: ไฟ Warm White (แสงขาวอมเหลือง, 2700K – 3000K), ไฟซ่อนใต้เฟอร์นิเจอร์ (Ambient Lighting) หรือไฟหรี่ (Dimmer Light) หรือไฟปรับระดับความสว่างได้
- แสงธรรมชาติเพิ่มบรรยากาศ Cozy: ใช้ผ้าม่านโปร่งแสง (Sheer Curtain), จัดเฟอร์นิเจอร์ให้รับแสงจากหน้าต่าง
- ไฟตกแต่ง: ไฟสาย (Fairy Light หรือ String Light), เทียน LED หรือโคมไฟสไตล์วินเทจ
การเลือกของตกแต่ง
การตกแต่งห้องนอนขนาดเล็กให้มีความ Cozy นั้นไม่จำเป็นต้องใช้งบสูงเสมอไป แต่สามารถทำได้ง่ายๆด้วยการเลือกของตกแต่งชิ้นเล็กๆน้อยๆ ก็ช่วยเพิ่มบรรยากาศอบอุ่นและความสะดวกสบาย อย่างเช่น การนำต้นไม้เล็กๆ หรือพืชประดับมาใส่ในห้องช่วยเพิ่มความสดชื่นและชีวิตชีวาให้กับห้องนอน และการเลือกใช้ โคมไฟข้างเตียง ที่มีแสงอบอุ่นจะช่วยสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลาย สุดท้าย, การแขวน ภาพวาดหรือกรอบรูป ก็ช่วยให้ห้องดูมีชีวิตชีวาและน่าสนใจมากขึ้น ทั้งหมดนี้จะช่วยสร้างบรรยากาศ Cozy ที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นและความผ่อนคลายในห้องนอนขนาดเล็กของคุณได้อย่างลงตัว
การบิ้วอินห้องนอนขนาดเล็กเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการใช้ประโยชน์จากพท้นที่ที่จำกัด ด้วยเฟอร์นิเจอร์ที่ถูกออกแบบให้เหมาะสมกับขนาดห้องเบียบและไม่รกเกินไป นอกจากนี้ การเลือกของตกแต่งที่ช่วยเสริมความ Cozy เช่น ผ้าปูที่นอนนุ่มๆ และโคมไฟอบอุ่นก็สามารถสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลายและน่าอยู่ได้อย่างง่ายดาย
และถ้าหากคุณอยากเริ่มตกแต่งห้องนอนขนาดเล็กให้มีฟังก์ชันการใช้งานแบบครบครันในพื้นที่จำกัดและมีความ Cozy ให้ US Furnish เป็นตัวช่วยในการบิ้วอินห้องนอนขนาดเล็กของคุณ! ด้วยบริการออกแบบ 3D เพื่อให้คุณได้เห็นภาพก่อนตัดสินใจ นอกจากนี้ก็มีทั้งบริการผลิต ติดตั้งให้งานบิ้วอินครบในที่เดียว ด้วยช่างฝีมือประสบการณ์มากกว่า 10 ปี
- Published in blog
มาทำความรู้จักกับเฟอร์นิเจอร์ Built-in
ทุกวันนี้การแต่งบ้านไม่ใช่เพียงแค่เลือกสีผนัง หรือเฟอร์นิเจอร์ที่สวยงามตรงใจ เพราะบางทีพอซื้อเฟอร์นิเจอร์มาแล้ว เหมือนจะพอดีแต่พอเอาเข้ามาวางแล้วกลับไม่สมส่วนหรือวางไม่พอ ทำให้ห้องดูอึดอัดไปหมดโดยเฉพาะกับคนที่อาศัยอยู่ในคอนโดหรือบ้านขนาดเล็ก และไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับความเรียบง่าย สะดวกสบายมากและใช้พื้นที่ทุกส่วนได้เต็มที่
นอกจากเฟอร์นิเจอร์ลอยตัวแล้วก็จะมีเฟอร์นิเจอร์บิ้วอิน หรือ Built-in ก็เป็นตัวเลือกที่ดีและกำลังเป็นที่นิยมสำหรับผู้ที่อยากแต่งบ้านในพื้นที่ที่จำกัดเพราะสามารถออกแบบให้พอดีกับพื้นที่ได้แบบเป๊ะๆ และติดตั้งแบบถาวรเพราะตัวเฟอร์นิเจอร์มักจะถูกยึดติดกับโครงสร้างอาคาร สามารถเลือกวัสดุได้ตามใจชอบ ซึ่งนอกจากนี้แล้วยังสามารถสร้างบรรยากาศในบ้านให้มีความเรียบหรู ดูเป็นสัดส่วน และยังช่วยให้บ้านเป็นระเบียบมากขึ้นอีกด้วย
ทำไมเฟอร์นิเจอร์บิ้วอินถึงน่าสนใจ
หลายๆคนอาจจะกำลังสงสัยว่าแล้วระหว่างเฟอร์นิเจอร์บิ้วอิน(Built-in) กับเฟอร์นิเจอร์แบบลอยตัว ควรเลือกแบบไหนถึงจะตอบโจทย์ที่สุด ซึ่งทั้งสองประเภทมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้อยู่อาศัย
หากเปรียบเทียบกับ เฟอร์นิเจอร์แบบลอยตัวที่สามารถเคลื่อนย้ายและเปลี่ยนตำแหน่งจัดวางได้ง่าย ซึ่ง เฟอร์นิเจอร์บิ้วอิน(Built-In) จะมีข้อได้เปรียบในแง่ของความพอดีและการใช้พื้นที่เพราะออกแบบให้เข้ากับขนาดห้องได้แบบพอดี และยังสามารถเลือกสี วัสดุแกละดีไซน์ให้เข้ากับสไตล์ของบ้านได้อย่างอิสระ และนอกจากนี้เฟอร์นิเจอร์บิ้วอินมีความแข็งแรง ทนทานต่อการใช้งานได้นานกว่า แต่ในการติดตั้งเฟอร์นิเจอร์บิ้วอินนั้น จำเป็นต้องใช้ช่างที่มีความสามารถหรือเลือกใช้บริการจากโรงงานเฟอร์นิเจอร์บิ้วอินที่สามารถออกแบบ customize ผลิตดีไซน์ของเฟอร์นิเจอร์ได้ตามชอบ และมีบริการติดตั้งได้ครบจบในที่เดียว
How to เลือกโรงงานเฟอร์นิเจอร์บิ้วอิน ให้ได้คุณภาพตรงใจ

How to เลือกโรงงานเฟอร์นิเจอร์บิ้วอิน ให้ได้คุณภาพตรงใจ
สิ่งที่สำคัญอีกอย่างนึงในขั้นตอนการแต่งบ้านก็คือ การเลือกโรงงานเฟอร์นิเจอร์บิ้วอินที่มีคุณภาพ จะช่วยให้คุณได้เฟอร์นิเจอร์ที่สวยตรงใจ ตอบโจทย์การใช้งาน แข็งแรงใช้งานได้ยาวๆ เพราะเฟอร์นิเจอร์บิ้ววอินเป็นงานที่ต้องสั่งทำแบบพิเศษ ไม่สามารถซื้อแบบสำเร็จรูปแล้วนำมาติดตั้งได้ เพราะฉะนั้นการเลือกโรงงานที่ดีจะช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่า งานออกมาสวย ใช้วัสดุคุณภาพ และติดตั้งได้อย่างมืออาชีพ เราจะพามาดู 5 ปัจจัยที่จะช่วยให้การเลือกโรงงานเฟอร์นิเจอร์บิ้วอินของคุณได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
5 ปัจจัยสำคัญในการเลือกโรงงานเฟอร์นิเจอร์บิ้วอิน
- มีผลงานและรีวิวจากลูกค้า แน่นอนว่าก่อนจะตัดสินใจเลือกโรงงาน ควรดูผลงานที่ผ่านมาก่อนเช่น ภาพตัวอย่างงาน รีวิวลูกค้า หรือแม้แต่การเข้าไปดูหน้างานจริงของลูกค้าเก่า เพื่อให้แน่ใจว่าโรงงานมีความน่าเชื่อถือ มีมาตรฐานในการผลิตและติดตั้ง
- มีทีมออกแบบและให้คำปรึกษา ถ้าหากคุณเป็นมือใหม่ในการแต่งบ้าน ควรเลือกโรงงานเฟอร์นิเจอร์บิ้วอินที่มีทีมออกแบบมืออาชีพ ที่สามารถให้คำแนะนำเกี่ยวกับดีไซน์ วัสดุและฟังก์ชันการใช้งานได้เพื่อให้เข้ากับพื้นที่และไลฟ์สไตล์ของคุณมากที่สุด
- ใช้วัสดุคุณภาพ และมีตัวเลือกหลากหลาย เนื่องจากเฟอร์นิเจอร์บิ้วอินมีราคาที่สูงกว่าเฟอร์นิเจอร์ลอยตัวทั่วไป เป็นการลงทุนระยะยาว ควรเลือกโรงงานที่ใช้วัสดุคุณภาพ ทนทานต่อการใช้งานเช่น ไม้ MDF, ไม้อัด, ไม้จริง และต้องมีตัวเลือกวัสดุหลากหลายเพื่อให้คุณได้เลือกตามความชอบและงบในกระเป๋า
- รับประกันงานและมีบริการหลังการขาย ในการติดตั้งเฟอร์นิเจอร์บิ้วอินอาจจะมีปัญหาเกิดขึ้นภายหลังเช่น รอยต่อหลุด ผิวไม้เสียหาย หรือระบบบานพับไม่แข็งแรง โรงงานที่ดีควรมีการรับประกันงานติดตั้งและให้บริการซ่อมบำรุงหลังการขาย เพื่อให้ลูกค้ามั่นใจในคุณภาพงานด้วย
- ราคาสมเหตุสมผล ราคาของเฟอร์นิเจอร์บิ้วอินนั้นส่วนใหญ่มักขึ้นอยู่กับวัสดุที่ใช้ ขนาดของงานรวมไปจนถึงค่าออกแบบในกรณีที่คุณต้องการ Cuztomize ดีไซน์เพิ่มเติม ซึ่งโรงงานที่ดีควรมีการเสนอราคาที่ชัดเจน แยกเป็นรายการวัสดุ ค่าแรง และค่าติดตั้ง เพื่อให้ลูกค้าเข้าใจค่าใช้จ่ายทั้งหมดและไม่มีค่าใช้จ่ายแอบแฝง
อยากได้เฟอร์นิเจอร์ Built-in สวย ๆ แต่ไม่รู้จะเริ่มยังไง? ให้ US Furnish เป็นคำตอบสำหรับคุณ
การเลือกเฟอร์นิเจอร์บิ้วอินถือว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างที่จะยุ่งยาก ซับซ้อนทั้งกับมือใหม่สำหรับการแต่งบ้านหรือแม้แต่กับผู้ที่มีประสบการณ์แล้ว ก็ยังยากไม่ใช่น้อยเพราะต้องคำณวนพื้นที่ให้ละเอียด ออกแบบให้พอดีกับพื้นที่ เลือกวัสดุทนทาน และหาช่างฝีมือดีไม่เทงานกลางคัน
แต่ไม่ต้องกังวลไป เพราะที่ US Furnish เป็นโรงงานเฟอร์นิเจอร์บิ้วอินที่สามารถให้คำปรึกษาได้ทุกขั้นตอน ตั้งแต่เริ่มออกแบบไปจนถึงบริการหลังการขาย สามารถผลิตและติดตั้งงาน built-in แบบครบวงจร ไม่ต้องเสียเวลาติดต่อหลายที่ให้ยุ่งยาก โดยช่างมืออาชีพประสบการณ์มากกว่า 10 ปี ราคาไม่แพงเป็นมิตรกับทุกคน แถมยังมีบริการออกแบบ3D ฟรีเพื่อให้คุณเห็นภาพก่อนตัดสินใจไม่ต้องเสี่ยงกับงานที่ไม่ถูกใจ
- Published in blog
ก่อนเริ่มตกแต่งภายในบ้านควรเตรียมตัวยังไง สำหรับมือใหม่
“เพราะบ้านคือ Safe Zone” หลังจากออกไปทำงานหรือเผชิญหน้ากับความวุ่นวายมาทั้งวัน แต่เมื่อกลับบ้านมา ก็ยังรู้สึกว่าเหนื่อยเหมือนเดิมหรือบางทีอาจจะรู้สึกเหนื่อยกว่าเดิมด้วยซ้ำ แทนที่เราควรจะรู้สึกผ่อนคลายและได้พักผ่อน เพราะ ”บ้าน” ไม่ใช่แค่สถานที่สำหรับแค่อยู่อาศัย แต่ควรเป็นพื้นที่ที่ให้ความสบายใจและความสงบเปรียบเหมือน Safe Zone ของเรา
ถ้าหากสังเกตุดีๆ การตกแต่งภายในบ้านจะเป็นสิ่งที่ส่งผลต่ออารมณ์ของเราได้ เพราะการออกแบบและการตกแต่งภายในบ้านแต่ละสไตล์ ไม่เพียงแต่จะช่วยให้บ้านดูสวยงามแต่ยังบอกถึงตัวตนของเจ้าบ้านได้อีกด้วย แต่ถ้าคุณยังเป็นมือใหม่สำหรับเรื่องการแต่งบ้านแล้วเกิดคำถามว่า “การตกแต่งภายในบ้านเตรียมตัวยังไง? แต่ละแบบแต่ละสไตล์มีแบบไหนบ้างล่ะ?” ในบทความนี้เราจะพาคุณมารู้จักสไตล์การตกแต่งบ้าน ที่กำลังเป็นเทรนด์ในปี 2025 กันพร้อมข้อดี ข้อเสีย ของแต่ละสไตล์เพื่อให้ตรงกับความต้องการและสไตล์ของคุณ
ถ้าพูดถึงการตกแต่งภายในบ้านแล้ว มันไม่ใช่เพียงการเลือกเฟอร์นิเจอร์หรือสีผนังห้องให้สวยงามแค่นั้น แต่ยังเป็นการสร้างบรรยากาศที่สะท้อนถึงตัวตนและความรู้สึกของคนอาศัย ก่อนที่เราจะพาคุณไปรู้จักกับสไตล์การแต่งบ้าน เราจะมาแนะนำการเตรียมตัวสำหรับผู้ที่อยากแต่งบ้านมือใหม่ว่าก่อนจะเริ่มตกแต่งควรเตรียมตัวยังไงบ้าง
- กำหนดงบประมาณ ก่อนจะเริ่มตกแต่ง ควรที่จะตั้งงบประมาณไว้ในใจก่อน เพื่อที่จะทำให้รู้ขอบเขตและไม่ให้งบบานปลาย
- เลือกสไตล์ที่ชอบ ตัดสินใจเกี่ยวกับสไตล์ที่คุณคิดว่าตรงใจ หรือเห็นแล้วสบายใจที่สุด เช่น Modern , Minimal หรือ Mazimal เพื่อให้เลือกเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งในบ้านให้ไปในทีมเดียวกัน
- วัดขนาดพื้นที่ เพราะบางทีขนาดเฟอร์นิเจอร์แต่ละอย่างมีขนาดที่แตกต่างกันบางอันอาจจะใช้พื้นที่เยอะหรืออาจจะใช้ที่น้อย ซึ่งควรวัดพื้นที่ให้เรียบร้อยก่อนเพื่อให้พอดีกับเฟอร์นิเจอร์ที่จะซื้อมา
- เลือกสีผนังและเฟอร์นิเจอร์ตกแต่ง เลือกเฟอร์นิเจอร์และสีผนังให้เข้ากับพื้นที่และเหมาะสมกับการใช้งาน เช่น โต๊ะ, เก้าอี้, โซฟา หรือชั้นวางของ ควรเลือกวัสดุและดีไซน์ที่ตรงกับสไตล์ที่ต้องการ
- คำนึงถึงฟังก์ชันการใช้งาน นอกจากความสวยงามแล้ว สิ่งที่ต้องคำนึงอีกอย่างนั่นก็คือ ความสะดวกสบายและฟังก์ชันการใช้งานของห้อง เช่น ห้องนั่งเล่นควรมีพื้นที่นั่งสบาย, ห้องครัวก็ควรมีพื้นที่เก็บของเพียงพอ
- วางแผนการจัดแสงในบ้าน จริงๆแล้วแสงไฟนั้นมีผลต่อบรรยากาศของบ้านส่วนสำคัญเลย การเลือกหลอดไฟที่ให้แสงสว่างพอเหมาะและตกแต่งด้วยโคมไฟหรือไฟเสริมช่วยเพิ่มความอบอุ่นให้กับห้อง
เทรนด์แต่งบ้านในปี 2025 ที่ไม่ควรพลาด

การแต่งบ้านในทุกวันนี้ไม่ได้เป็นแค่การจัดวางตัวแต่งเฟอร์นิเจอร์ในตัวบ้านเพื่อความสวยงามเท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่มความสบายใจ ความผ่อนคลาย และสะท้อนถึงไลฟ์ไสตล์ของเจ้าของบ้านและผู้อยู่อาศัยด้วย และในปี 2025 เทรนด์การแต่งบ้านก็ได้มีการผสมผสานหลากลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการใช้เทคโนโลยีเข้ามาเพิ่มฟังก์ชันการใช้งานของเฟอร์นิเจอร์ หรือการคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมในการตกแต่งมากขึ้นและสร้างความรู้สึกผ่อนคลายเข้าด้วยกันอย่างลงตัว โดยให้ความสำคัญกับการออกแบบที่ตอบโจทย์การใช้งานหลากหลาย เราจะพามาดูกันว่าเทรนด์การแต่งบ้านที่กำลังมาแรงในปีนี้มีเทรนด์แบบไหนบ้าง
-
Multifunctional & Modular Furniture เฟอร์นิเจอร์อเนกประสงค์
ปัจจุบันนี้มีหลายๆคนที่เลือกที่จะอยู่อาศัยในคอนโดมิเนียม อพาร์ตเมนต์หรือพื้นที่ที่มีจำกัด ทำให้การจัดพื้นที่ใช้สอยในบ้านนั้นเป็นเรื่องสำคัญ นอกจากการเลือกเฟอร์นิเจอร์ให้สวยงามแล้วก็ต้องเลือกเฟอร์นิเจอร์ที่ตอบโจทย์การใช้งานในพื้นที่จำกัดด้วย การเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์อเนกประสงค์กำลังเป็นที่นิยมเพิ่มมากขึ้นในปัจจุบัน ตัวเฟอร์นิเจอร์จะถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานได้มากกว่าหนึ่งหน้าที่สามารถปรับเปลี่ยนรูปทรงตามการใช้งานได้ตามต้องการในพื้นที่ที่จำกัด ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เช่น เตียงนอนที่มีลิ้นชัก เพิ่มพื้นที่จัดเก็บโดยไม่ต้องใช้ตู้เสริม,โซฟาเบด ที่สามารถปรับเป็นเตียงนอนได้ เหมาะสำหรับบ้านที่มีพื้นที่จำกัด หรือโต๊ะพับติดผนัง
- ข้อดีของ Multifunctional & Modular Furniture
- ประหยัดพื้นที่ – เหมาะสมหรับบ้าน ห้อง หรือคอนโดที่มีขนาดเล็ก
- ประหยัดงบ – ถึงแม้ว่าเฟอร์นิเจอร์ประเภทนี้ราคาอาจจะสูงกว่าปกติ แต่ถ้าในระยะยาวก็สามารถลดค่าใช้จ่ายจุกจิกได้ เพราะไม่ต้องซื้อเพิ่มหลายๆชิ้น
- ดีไซน์ทันสมัยและสวยงาม – ดีไซน์ที่ออกมาแบบเรียบง่าย โมเดิร์น เหมาะกับสไตล์มินิมอลหรือโมเดิร์นลอฟท์
- เหมาะกับไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ – ตอบโจทย์กับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ที่ชอบความสะดวกสบายและความคล่องตัว
- ข้อเสียของ Multifunctional & Modular Furniture
- ราคาสูง – เนื่องจากใช้งานได้หลายฟังก์ชั่นหรือถูกออกแบบมาแบบพิเศษ
- อาจไม่แข็งแรงเท่ากับเฟอร์นิเจอร์ทั่วไป – มีการออกแบบให้ปรับเปลี่ยนได้ จึงอาจไม่แข็งแรงเท่ากับเฟอร์นิเจอร์ที่มีโครงที่แข็งแรงกว่า
- ไม่เหมาะกับทุกพื้นที่ – ถึงแม้จะปรับเปลี่ยนได้ แต่บางพื้นที่เช่น ห้องที่มีมุมเยอะ บางดีไซน์ก็อาจจะไม่พอดีกับพื้นที่
Smart Home Integration เทคโนโลยีสมาร์ทโฮม
Smart Home Integration หรือเทคโนโลยีสมาร์ทโฮมคือ การนำเทคโนโลยีมาปรับใช้เพื่อให้เป็นส่วนหนึ่งในฟังก์ชันการใช้งานของเฟอร์นิเจอร์ เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ สามารถสั่งการผ่านมือถือได้, ระบบรักษาความปลอดภัย ที่สามารถดูแบบเรียลไทม์ได้ผ่านมือถือ หรือระบบเซนเซอร์อัตโนมัติ เพื่อที่จะช่วยเพิ่มความสะดวกสบายและความปลอดภัยของผู้อยู่อาศัย
- ข้อดีของ Smart Home Integration
- สะดวกสบาย – ควบคุมทุกอย่างได้ง่าย ผ่านแอปมือถือหรือผ่านเสียง
- ความปลอดภัย – มีระบบล็อกประตูและกล้องวงจรปิดที่เช็คได้เรียลไทม์
- ประหยัดพลังงาน – สามารถตั้งค่าเวลาการใช้งานให้มีประสิทธิภาพ
- เหมาะกับไลฟ์สไตล์ยุคดิจิทัล – เชื่อมต่อและทำงานร่วมกับอุปกรณ์ ITได้
- ข้อเสียของ Smart Home Integration
- ราคาสูง – เนื่องจากฟังก์ชันที่พิเศษกว่าแบบอื่น ราคาก็อาจจะสูงตามไปด้วย
- ติดตั้งยาก – อาจต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญในการตั้งค่าหรือเชื่อมต่อระบบ
- ปัญหาด้านความปลอดภัยไซเบอร์ – หากไม่ได้ตั้งค่าระบบที่ดี อาจจะเสี่ยงต่อการโดนแฮ็กได้
- อินเตอร์เน็ตที่ต้องเสถียร – เนื่องจากอุปกรณ์หลายๆอย่างจำเป็นต้องใช้อินเทอร์เน็ตเป็นตัวกลางการสั่งงาน
Moody & Dark Tones การใช้โทนสีเข้ม
Moody & Dark Tone คือการใช้โทนสีเข้มในการตกแต่งภายในบ้าน จะช่วยเพิ่มความหรูหรา ลึกลับ น่าค้นหา และมีสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์ นอกจากการใช้สีเข้มแล้วจะมีการเล่นกับแสงและเงาเพื่อเพิ่มบรรยากาศอีกด้วย เช่น การใช้แสงไฟที่เหมาะสมจะช่วยสร้างมิติกับห้องได้ บวกกับการเลือกเฟอร์นิเจอร์ที่ใช้ควรมีดีไซน์ที่เรียบๆ แต่มีเอกลักษณ์
- ข้อดีของการแต่งบ้านสไตล์ Moody & Dark Tones
- ความหรูหราและมีสเน่ห์ – เนื่องจากสีเข้มจะช่วยเพิ่มความรู้สึกหรูหราและคลาสสิค เหมาะกับกับการแต่งบ้านสไตล์โมเดิร์น
- ความรู้สึกถึงความลึกลับและเป็นเอกลักษณ์ – เพราะโทนสีเข้มช่วยทำให้ห้องดูน่าสนใจและมีความลึกซึ้ง
- สร้างจุดโฟกัส – การใช้สีเข้มกับผนังจะช่วยให้เราสร้างจุดโฟกัสเพิ่มมากขึ้น ถ้าหากเลือกสีเฟอร์นิเจอร์ที่ไม่กลืนและไม่จำเป็นต้องใช้สีที่โดดเด่น
- ข้อเสียของการแต่งบ้านสไตล์ Moody & Dark Tones
- อาจทำให้ห้องดูแคบและอึดอัด – เนื่องจากสีเข้มจะดูดแสงมากกว่าสีอ่อน บางทีอาจจะทำให้ห้องที่มีขนาดเล็กอยู่แล้วอาจจะดูอึดอัดและแคบกว่าความเป็นจริง
- ทำให้ฝุ่นและรอยเปื้อนเห็นชัดเจน – เพราะวัสดุหรือผนังบางประเภท เช่น มันเงาหรือผิวด้าน อาจจะทำให้เห็นฝุ่น คราบนิ้วมือ และรอยขีดข่วนเห็นชัดกว่าสีอ่อน
- อาจทำให้บรรยากาศดูหม่นหมองเกินไป – ถ้าใช้สีเข้มมากเกินไปโดยไม่มีเฟอร์นิเจอร์สีอ่อนมาตัด อาจจะทำให้บรรยากาศดูเศร้า หม่นหมอง
- เข้ากับสไตล์การตกแต่งบางประเภทเท่านั้น – ถ้าอยากตกแต่งแนว cozy หรือใช้โทนสีสดใส การแต่งแบบ Moody & Dark Tones อาจจะไม่เหมาะ
Sustainable & Biophilic Design ธรรมชาติกับความยั่งยืน
ในยุคปัจจุบันปัญหาสิ่งแวดล้อมนั้นกลายเป็นเรื่องใกล้ตัวมากขึ้น Sustainable Design คืออีกหนึ่งการออกแบบตกแต่งภายในบ้านที่ไม่เพียงเพื่อความสวยงามหรือสะดวกสบายเท่านั้น แต่ยังช่วยลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างสิ้นเปลือง เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน และสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีต่อสุขภาพของผู้อยู่อาศัย ตั้งแต่การเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ออกแบบให้ประหยัดพลังงาน และการลดของเสียไปจนถึงการสร้างพื้นที่ที่สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ
- ข้อดีของการแต่งบ้านสไตล์ Sustainable Design
- ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ลดทั้งของเสียและมลพิษ
- เสริมสร้างสุขภาพและคุณภาพชีวิต สามารถใช้พืชช่วยฟอกอากาศ ลดฝุ่น และเพิ่มความชื้นในอากาศได้อีกด้วย
- ลดค่าใช้จ่ายระยะยาว เนื่องจากใช้วัสดุที่ทนทานจึงช่วยลดการเปลี่ยนบ่อยๆ
- สร้างความผ่อนคลาย สีเขียวของต้นไม้จะช่วยให้รู้สึกสงบและผ่อนคลาย
- ข้อเสียของการแต่งบ้านสไตล์ Sustainable Design
- ต้นทุนติดตั้งสูง วัสดุบางชิ้นมีราคาและค่าติดตั้งสูงกว่าวัสดุทั่วๆไป
- ต้องดูแลรักษา วัสดุธรรมชาติเช่น ต้นไม้และพืชประดับอาจจะต้องการดูแลรดน้ำ หรือตัดแต่งเรื่อยๆ
Artistic & Personalized Decor ศิลปะและความเป็นเอกลักษณ์
การตกแต่งภายในบ้านแบบ Artistic & Personalized Decor หรือ ศิลปะและความเป็นเอกลักษณ์ในการตกแต่งบ้าน เป็นการตกแต่งบ้านที่เน้นการแสดงถึงตัวตน ความชอบ รสนิยมที่มีความเฉพาะของเจ้าของบ้าน โดยใช้งานศิลปะ งานCustoms หรือของสะสม ซึ่งการตกตแต่งสไตล์นี้จะไม่ความตายตัว เพราะเจ้าของบ้านสามารถตกแต่งได้ตามใจชอบและจัดวางได้อิสระ ซึ่งสิ่งเหล่านี้นอกจากจะช่วยให้บ้านสวยงามแล้ว แต่ยังสร้างความรู้สึกผูกพันและเต็มไปด้วยความหมาย เอกลักษณ์ของเจ้าของบ้าน
- ข้อดีของการตกแต่งแบบ Artistic & Personalized Decor
- สร้างเอกลักษณ์และบ่งบอกรสนิยม การเลือกใช้รูปภาพ หรือเฟอร์นิเจอร์ที่ออกแบบมาเฉพาะ จะช่วยทำให้พื้นที่บ้านกลายเป็นพื้นที่สะท้อนตัวตน และแตกต่างไม่เหมือนใคร
- ได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ เพราะไม่มีรูปแบบการจัดวางหรือการตกแต่งแบบตายตัว ก็สามารถมาอิสระในการเลือกของตกแต่งตามความชอบของเจ้าของบ้าน
- ช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับบ้าน บ้านที่มีเอกลักษณ์สามารถดึงดูดความสนใจ หากต้องการขายหรือปล่อยเช่า
- ข้อเสียของการตกแต่งแบบ Artistic & Personalized Decor
- อาจทำให้บ้านดูรกหรือลายตา ถ้าหากเลือกใช้ของที่มีสีสันและลวดลายมากเกินไปอาจจะทำให้บ้านดูวุ่นวาย
- ต้นทุนสูง พวกงานศิลปะ เฟอร์นิเจอร์ที่สั่งcustoms หรือของสะสมอาจจะมีราคาสูง
บ้านไม่ได้เป็นเพียงที่อยู่อาศัย แต่ควรเป็น “Safe Zone” ที่มอบความผ่อนคลายและความสงบจากความเครียดต่างๆ ในชีวิตประจำวัน การตกแต่งภายในบ้านสามารถสร้างบรรยากาศที่สะท้อนถึงตัวตนและอารมณ์ของเจ้าของบ้านได้ โดยไม่เพียงแต่ต้องการความสวยงาม แต่ต้องคำนึงถึงความสบายใจและการใช้งานที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิต อย่างที่เห็นได้ชัดว่าในปี 2025 การตกแต่งบ้านได้กลายเป็นการผสมผสานเทคโนโลยีและความยั่งยืนเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ผ่อนคลายและสอดคล้องกับสไตล์การใช้ชีวิตสมัยใหม่
- Published in blog
ผู้รับเหมาตกแต่งภายใน จำเป็นกว่าที่คิด
เวลามีบ้านหลังแรก สิ่งแรกๆที่คุณนึกถึงคืออะไร ? เมื่อมีบ้านเปล่า สิ่งแรกๆ ที่หลายคนนึกถึงการตกแต่ง การเลือกโทนสีภายในบ้าน หรือการจัดเรียงเฟอร์นิเจอร์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เกี่ยวกับการตกแต่งภายใน เพราะเมื่อมีบ้านสวยข้างนอกแล้ว บ้านภายในก็สำคัญเช่นเดียวกัน
อย่างที่ทราบกันดีว่าการตกแต่งภายในไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะนอกเหนือจากฟังก์ชันแล้ว สิ่งสำคัญคือดีไซน์และความเหมาะสมกับผู้อยู่อาศัย วันนี้เราจึงนำ 7 คำถามสำคัญที่ควรถามผู้รับเหมาตกแต่งภายใน ก่อนเลือกใช้บริการ
7 คำถามคุณภาพที่ควรถามก่อนใช้บริการรับเหมาตกแต่งภายใน มีอะไรบ้าง ?

-
ผู้รับเหมาตกแต่งภายใน มีประสบการณ์และผลงานอะไรที่ผ่านมาบ้าง?
การถามเกี่ยวกับประสบการณ์และผลงานที่ผ่านมาเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการประเมินความสามารถของผู้รับเหมา แนะนำให้ดูพอร์ตโฟลิโอหรือตัวอย่างผลงานที่เคยทำมา โดยเฉพาะโครงการที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับของคุณ สังเกตคุณภาพของงาน ความหลากหลายของสไตล์ และความสามารถในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า นอกจากนี้ ควรสอบถามถึงประสบการณ์การทำงานกับวัสดุหรือเทคนิคพิเศษที่คุณสนใจด้วย
-
บริษัทมีใบอนุญาตและการรับรองที่จำเป็นหรือไม่?
การมีใบอนุญาตและการรับรองที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญที่แสดงถึงความเป็นมืออาชีพและความน่าเชื่อถือของผู้รับเหมาตกแต่งภายใน ตรวจสอบว่าผู้รับเหมามีใบอนุญาตที่ถูกต้องตามกฎหมายและมีการประกันภัยที่ครอบคลุม นอกจากนี้ การเป็นสมาชิกขององค์กรวิชาชีพด้านการออกแบบตกแต่งภายในก็เป็นข้อบ่งชี้ที่ดีถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาวิชาชีพอย่างต่อเนื่อง
-
กระบวนการทำงานของคุณเป็นอย่างไร?
การเข้าใจกระบวนการทำงานของผู้รับเหมาจะช่วยให้คุณเตรียมตัวและวางแผนได้ดียิ่งขึ้น สอบถามเกี่ยวกับขั้นตอนต่างๆ ตั้งแต่การออกแบบไปจนถึงการก่อสร้างและตกแต่ง รวมถึงระยะเวลาที่คาดว่าจะใช้ในแต่ละขั้นตอน นอกจากนี้ ควรถามถึงวิธีการสื่อสารและรายงานความคืบหน้าให้คุณทราบระหว่างดำเนินโครงการด้วย
-
ค่าใช้จ่ายโดยประมาณเป็นเท่าไหร่ และรวมค่าอะไรบ้าง?
เรื่องงบประมาณเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องพูดคุยกันอย่างชัดเจน ขอให้ผู้รับเหมาให้ราคาโดยประมาณและระบุรายละเอียดว่าครอบคลุมอะไรบ้าง เช่น ค่าวัสดุ ค่าแรงงาน ค่าออกแบบ และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้น ถามเกี่ยวกับนโยบายการชำระเงิน เงื่อนไขการยกเลิก และค่าใช้จ่ายที่อาจเพิ่มเติมในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงแผนงาน
-
ใช้ผู้รับเหมาช่วงหรือทีมงานของตัวเองในการทำงาน?
การรู้ว่าใครจะเป็นผู้ดำเนินการจริงในโครงการของคุณเป็นสิ่งสำคัญ บางบริษัทอาจใช้ผู้รับเหมาช่วงสำหรับงานบางส่วน ในขณะที่บางบริษัทอาจมีทีมงานภายในที่ดูแลทุกขั้นตอน สอบถามเกี่ยวกับประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของทีมงานที่จะเข้ามาทำงานในพื้นที่ของคุณ รวมถึงวิธีการควบคุมคุณภาพงาน
-
มีการรับประกันผลงานหรือไม่?
การรับประกันผลงานเป็นสิ่งที่แสดงถึงความมั่นใจในคุณภาพของงานและความรับผิดชอบของผู้รับเหมา สอบถามว่ามีการรับประกันอะไรบ้าง ครอบคลุมระยะเวลาเท่าไหร่ และมีเงื่อนไขอย่างไร นอกจากนี้ ควรถามถึงนโยบายการแก้ไขงานหากเกิดปัญหาหลังจากส่งมอบงานแล้ว
-
สามารถให้รายชื่อลูกค้าที่เคยใช้บริการเพื่อสอบถามได้หรือไม่?
การพูดคุยกับลูกค้าเก่าเป็นวิธีที่ดีในการประเมินความน่าเชื่อถือและคุณภาพการทำงานของผู้รับเหมา ขอรายชื่อและข้อมูลติดต่อของลูกค้าที่เคยใช้บริการ โดยเฉพาะโครงการที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับของคุณ เมื่อได้ติดต่อ ให้สอบถามเกี่ยวกับประสบการณ์การทำงานร่วมกัน คุณภาพของผลงาน และความตรงต่อเวลา
- Published in blog
เลือกโรงงานเฟอร์นิเจอร์บิ้วอิ้น ปัญหาของคนมีบ้านมือใหม่
ใครที่เพิ่งซื้อบ้านไปหมาดๆ น่าจะเจอปัญหาการตกแต่งภายในบ้านบ้างไม่มากก็น้อย เพราะหลายๆ ครั้งก่อนตกแต่งบ้านหรือ interior design เราต้องคำนึงถึงการใช้เฟอร์นิเจอร์ ซึ่งการจะเลือกเฟอร์นิเจอร์ก็ควรจะต้องรู้ว่าต้องเป็นเฟอร์นิเจอร์แบบไหนบ้าง โดยสำหรับใครที่กำลังเล็งว่าอยากหันมาเลือกเฟอร์นิเจอร์บิ้วอิน เราขอแนะนำว่าสิ่งสำคัญที่ควรรู้คือทริคในการเลือกโรงงานเฟอร์นิเจอร์บิ้วอิน
มาดูกันว่า ก่อนใช้บริการมีอะไรที่ต้องรู้ไว้บ้าง ?
เฟอร์นิเจอร์บิ้วอิน ดีกว่ายังไง?

เฟอร์นิเจอร์บิ้วอิน เป็นเฟอร์นิเจอร์ที่ออกแบบมาเพื่อบ้านหรือพื้นที่นั้นๆ โดยเฉพาะ พื่อให้มีขนาดที่พอตัวโดยเฉพาะ เพื่อให้มีฟังก์ชั่นที่ตอบโจทย์การใช้งานของผู้อยู่อาศัย ดังนั้นจึงจะติดตั้งอย่างถาวรในพื้นที่นั้นๆ
ข้อดีของเฟอร์นิเจอร์เหล่านี้คือมันเป็นเฟอร์นิเจอร์ที่จะเป็นรูปแบบและสไตล์ที่ตรงตามความต้องการ มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน ดีไซน์สวยไม่ซ้ำใคร อีกทั้งยังช่วยประหยัดพื้นที่ได้เป็นอย่างดี ทำให้การตกแต่งบ้านดูดีและลงตัวมากขึ้นนั่นเอง
5 เทคนิคเลือกโรงงานเฟอร์นิเจอร์บิ้วอินก่อนตกแต่งบ้านจากกูรู

- ตรวจสอบประสบการณ์และผลงานที่ผ่านมา
การเลือกโรงงานที่มีประสบการณ์ยาวนานและมีผลงานที่น่าประทับใจเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก ควรขอดูพอร์ตโฟลิโอของโรงงานเพื่อประเมินคุณภาพและสไตล์ของงานที่พวกเขาทำ นอกจากนี้ ยังควรสอบถามเกี่ยวกับโครงการที่พวกเขาเคยทำที่คล้ายคลึงกับความต้องการของคุณ โรงงานที่มีประสบการณ์หลากหลายและมีความเชี่ยวชาญในสไตล์ที่คุณต้องการจะสามารถให้คำแนะนำที่มีคุณค่าและสร้างผลงานที่ตรงตามความคาดหวังของคุณได้
- พิจารณาคุณภาพของวัสดุและฝีมือ
คุณภาพของวัสดุและฝีมือเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดความทนทานและความสวยงามของเฟอร์นิเจอร์บิ้วอิน ขอให้โรงงานแสดงตัวอย่างของวัสดุที่พวกเขาใช้และอธิบายกระบวนการผลิต สังเกตรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เช่น คุณภาพของการเชื่อมต่อ ความเรียบร้อยของการเคลือบผิว และความแข็งแรงของอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ โรงงานที่ดีควรใช้วัสดุคุณภาพสูงและมีทีมช่างฝีมือที่มีความเชี่ยวชาญ
- ประเมินความสามารถในการปรับแต่งและความยืดหยุ่น
เฟอร์นิเจอร์บิ้วอินควรตอบสนองความต้องการเฉพาะของคุณได้อย่างสมบูรณ์แบบ เลือกโรงงานที่มีความยืดหยุ่นและสามารถปรับแต่งงานตามความต้องการของคุณได้ พวกเขาควรเต็มใจที่จะทำงานร่วมกับคุณในการออกแบบและปรับเปลี่ยนแบบเพื่อให้เข้ากับพื้นที่และสไตล์ของบ้านคุณ นอกจากนี้ ยังควรสามารถเสนอทางเลือกที่หลากหลายในด้านวัสดุ สี และการตกแต่ง
- พิจารณาราคาและความคุ้มค่า
แม้ว่าราคาไม่ควรเป็นปัจจัยเดียวในการตัดสินใจ แต่ก็เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณา เปรียบเทียบราคาจากโรงงานหลายๆ แห่ง แต่อย่าลืมว่าราคาถูกที่สุดอาจไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุดเสมอไป พิจารณาความคุ้มค่าโดยรวม โดยคำนึงถึงคุณภาพของวัสดุ ฝีมือ และบริการหลังการขาย โรงงานที่เสนอราคาที่สมเหตุสมผลพร้อมกับคุณภาพและบริการที่ดีคือตัวเลือกที่ดีที่สุด
- ตรวจสอบความน่าเชื่อถือและการบริการลูกค้า
ความน่าเชื่อถือและการบริการลูกค้าที่ดีเป็นสิ่งสำคัญในการทำงานระยะยาว อ่านรีวิวและความคิดเห็นจากลูกค้าเก่า และขอรายชื่อลูกค้าอ้างอิงเพื่อสอบถามประสบการณ์ตรง นอกจากนี้ ให้สังเกตว่าโรงงานมีการสื่อสารที่ดีและตอบสนองต่อคำถามและข้อกังวลของคุณอย่างไร โรงงานที่มีความน่าเชื่อถือควรมีนโยบายการรับประกันที่ชัดเจนและบริการหลังการขายที่ดี
- Published in blog
ทริคตกแต่งภายในบ้านสไตล์ cozy: แต่งแล้วน่าอยู่ อบอุ่น มีสไตล์
ใครเคยไปบ้านที่ให้บรรยากาศอบอุ่น มีแสงไฟสลัวๆ มีกลิ่นอายของความอบอุ่น จะบอกว่าการตกแต่งบ้านสไตล์นี้ เราอาจไม่มีสไตล์เรียกที่ชัดเจนแต่จุดเด่นคือต้องมีสิ่งที่ให้ความรู้สึก “Cozy” กลายมาเป็นสไตล์การตกแต่งบ้านแบบ cozy อย่างที่เราเรียกกันในปัจจุบัน
Cozy คืออะไร?

บ้านสไตล์ Cozy ส่วนใหญ่จะเน้นไปในเรื่องของการตกแต่งภายในบ้าน (interior design) ซึ่งอาจจะเป็นบ้านสไตล์โมเดิร์น บ้านสไตล์วินเทจ หรือแม้แต่บ้านแบบมนิมอล ทั้งหมดนี้สามารถให้บรรรยากาศความ cozy ได้ทั้งหมด สรุปให้เข้าใจง่าย บ้านสไตล์ “cozy” คือบ้านที่เน้นบรรยากาศ
ทีนี้สีอะไร โทนประมาณไหนล่ะที่จะเหมาะกับคำว่า “cozy” ที่สุด ? โดยทั่วไปสีไม่ได้ชัดเจนมากนัก แต่ถ้าสีที่สามารถให้ความรู้สึกอบอ่นได้ดียกตัวอย่างให้เห็นภาพที่สุดคือสีประเภทเอิธโทนเน้นเฟอร์นิเจอร์ธรรมชาติ ที่แสดงให้เห็นความเรียนง่าย โปร่งสบาย สว่าง และละมุนอบอุ่น นั่นก็คือสีน้ำตาล เขียวเข้ม หรือสีนู้ดๆ ครีมก็ได้เช่นเดียวกัน
ตกแต่งภายในบ้านแบบ Cozy เริ่มแบบนี้!

ก่อนเริ่มตกแต่งบ้านให้มีความ cozy สิ่งที่ต้องคำนึงถึงคือ 2 ปัจจัยหลัก นั่นคือ ความเรียบง่ายเป็นธรรมชาติ และการเลือกโทนสีให้เหมาะสม
- ความธรรมชาติและเรียบง่าย คือการเลือกโทนที่มีความสว่าง โปร่ง เบาสบาย ให้ห้องดูกว้างและให้ความรู้สึกสบาย รวมไปถึงการเลือกเฟอร์นิเจอร์ที่เน้นไปที่สีธรรมชาติ สีไม้ๆ เขียวๆ จะง่ายต่อการตกแต่งและใช้ไฟสีละมุนๆ อ่อนๆ
- โทนสีที่ใช้แนะนำว่าควรเป็นสีเอิร์ธโทน หรือถ้าไม่มีก็อาจจะเป็นสีสันสดใสไปเลย แล้วเน้นการใช้ไฟในการตกแต่งให้มีความอบอุ่นและ cozy มากขึ้น
ที่นี้ไปถึงการตกแต่งภายในบ้าน USfurnish แนะนำว่าควรเลือกการตกแต่งที่เป็นตัวของตัวเองแต่ก็ยังคงมีความเป็นธรรมชาติด้วยในเวลาเดียวกัน และสำหรับใครที่ต้องการบ้านให้มีกลิ่นอายความ Cozy ละก็ ควรตกแต่งตามนี้เลย
- เลือกโทนสีอบอุ่นเป็นพื้นฐาน
การเลือกโทนสีที่เหมาะสมเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างบรรยากาศโคซี่ ให้เน้นใช้สีเอิร์ธโทนเป็นหลัก โดยเฉพาะสีน้ำตาลอ่อนหรือน้ำตาลโทนร้อน ผสมผสานกับสีนู้ดหรือสีเนื้อเพื่อเพิ่มความนุ่มนวล ช่วยลดความแข็งกระด้างของสีน้ำตาล ทำให้บ้านดูอบอุ่นและผ่อนคลายมากขึ้น
- ใช้เฟอร์นิเจอร์อเนกประสงค์
เนื่องจากสไตล์โคซี่เน้นความเรียบง่าย การเลือกเฟอร์นิเจอร์แบบมัลติฟังก์ชันจึงเป็นตัวเลือกที่ชาญฉลาด นอกจากจะช่วยประหยัดพื้นที่แล้ว ยังเพิ่มความสะดวกสบายในการใช้งาน เช่น โซฟาที่ปรับเป็นเตียงได้ หรือโต๊ะกาแฟที่มีช่องเก็บของ
- เพิ่มความมีชีวิตชีวาด้วยต้นไม้
แม้ว่าโทนสีหลักจะเป็นสีอบอุ่น แต่การเพิ่มต้นไม้สีเขียวจะช่วยสร้างความสดชื่นและมีชีวิตชีวาให้กับบ้าน แนะนำต้นไม้อย่างมอนสเตอร่า ว่านงาช้าง หรือแคคตัส ใส่ในกระถางสีขาวหรือตะกร้าหวายเพื่อเพิ่มความน่าสนใจ
- สร้างเสน่ห์ด้วยงานศิลปะและแสงไฟ
การตกแต่งผนังด้วยกรอบรูปศิลปะหรือภาพครอบครัวจะช่วยสะท้อนตัวตนของผู้อยู่อาศัย นอกจากนี้ การใช้ไฟวอร์มไวท์ประดับจะช่วยเพิ่มบรรยากาศอบอุ่นและโรแมนติก ทำให้บ้านมีเสน่ห์มากขึ้น
- จัดพื้นที่อย่างเรียบง่ายแต่มีสไตล์
สไตล์โคซี่เน้นความเรียบง่ายและสบายๆ ไม่จำเป็นต้องมีเฟอร์นิเจอร์มากมาย การจัดวางฟูกบนพื้นแทนเตียง หรือใช้ผ้าม่านสีขาวโปร่งแสง จะช่วยสร้างบรรยากาศผ่อนคลาย
นอกจากนี้ การมีชั้นวางหนังสือไม้พร้อมจัดวางหนังสือและของตกแต่งอย่างสวยงาม จะช่วยสะท้อนไลฟ์สไตล์และเพิ่มความน่าสนใจให้กับห้องได้เป็นอย่างดี จะเห็นว่าการตกแต่งภายในบ้านที่ดีควรมีความเข้าใจในเรื่อง mood & tone และการจัดวางเฟอร์นิเจอร์ให้เหมาะสม ซึ่งการทำสิ่งเหล่านี้อาจจะต้องอาศัยความเป็นมืออาชีพ
USfurnish เราพร้อมมอบประสบการณ์การตกแต่งภายในบ้านให้กับคุณ ตั้งแต่การให้คำแนะนำ ไปจนถึงการเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์ และการจัดแต่งบ้านให้คุณอย่างครบวงจร เลือกตกแต่งบ้านสไตล์ Cozy เลือกให้ดี เลือก USfurnish
- Published in blog










